ป่วนเมืองกลางกรุงกันหลายจุดในวันเดียว

ซีนระทึกเหตุระเบิดวุ่นวายตั้งแต่เช้า 2 ส.ค. เริ่มจากเหตุระเบิดในซอยพระรามเก้า 57/1 มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด กทม. ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ระหว่างกำลังเก็บกวาดขยะภายในซอย

ตามมาด้วยเหตุระเบิดบริเวณพงหญ้าใต้บันไดสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ไล่มาติดๆ ด้วยเหตุระเบิดที่หน้าตึกมหานคร ที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี

และที่บริเวณพุ่มไม้หน้าศูนย์ราชการ อาคารบี ถ.แจ้งวัฒนะ จำนวน 3 ลูก รวมถึงที่บริเวณหน้าสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม

สร้างความโกลาหลแตกตื่น ต้องเคลียร์พื้นที่กันประชาชนไม่ให้เข้าใกล้จุดเกิดเหตุในทุกจุด

ยังไม่นับรวมเหตุไฟไหม้ช่วงเช้าตรู่ย่านประตูน้ำที่คาบเกี่ยวจะเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดป่วนเมืองหรือไม่

ลองของติดๆกัน 5-6 จุด ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง ต่อเนื่องจากกรณีเหตุคนร้ายนำวัตถุคล้ายระเบิดไปซุกไว้บริเวณพุ่มไม้ใต้ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

แค่ข้ามคืนระเบิดโผล่ไปทั่วกรุง รูปการณ์บ่งบอกชัดเจน เอาแค่เขย่าขวัญให้เกิดความตื่นตระหนกพอเบาะๆ ไม่มีเจตนาต้องการให้เกิดความสูญเสียรุนแรง

พูดง่ายๆเป็นคิวจงใจสร้างสถานการณ์ป่วนเมืองนั่นเอง

ลูบคมหน่วยงานด้านความมั่นคงที่หมดยุค คสช.ส่งต่ออำนาจให้รัฐบาลเลือกตั้งของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รับช่วงต่อ

ในจังหวะที่ “ลุงตู่” เข้ามาคุมอำนาจ รับผิดชอบหน่วยงานด้านความมั่นคงเต็มตัว ดูแลทั้ง สตช. กองทัพ และยังดึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จากกระทรวงยุติธรรมมาอยู่ในความดูแลอีกต่างหาก

สยายปีกกุมหน่วยงานที่มีกำลังพลและอำนาจมหาศาลเบ็ดเสร็จเพียงคนเดียว ไม่ใช่หน้าที่ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป

...

แน่นอนที่สุดเงื่อนปมมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกโยงไปเรื่องการท้าทายอำนาจของ “ลุงตู่”

ตามการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ “บิ๊กตู่” มีคิวไปนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มอบนโยบายยกเครื่องปฏิรูปตำรวจ

ถูกแหย่หนวดเสือทันทีที่เข้ามาดูแลวงการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

จงใจเขย่าขวัญคนกรุงให้แตกตื่นกับการก่อเหตุในพื้นที่โซนใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่หน้าหน่วยตำรวจ และทหารก็ยังถูกท้าทาย

อานุภาพระเบิดป่วนเมืองถึงไม่ได้มุ่งทำลายล้างชีวิต ทรัพย์สินประชาชน แต่ผลกระทบที่ตามมาทำท่าจะสะเทือนเป็นวงกว้าง

เพราะไม่ใช่แค่สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน แต่อาจกระเทือนไปถึงนักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ชะลอการลงทุน

และพลอยสร้างความเสียหายไปถึงด้านการท่องเที่ยว กระทบไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมดูแลสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน

อาศัยจังหวะที่แขกเหรื่อจากต่างประเทศ อาทิ นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกามาเยือนเมืองไทย และในห้วงที่มีการประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซียน ก่อความวุ่นวายให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองท่ามกลางสายตาผู้นำต่างชาติ

มุ่งหวังผลทางการเมือง จ้องดิสเครดิต “ลุงตู่” โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ประเทศ และผลกระทบความเสียหายที่ตามมาในด้านต่างๆ

อย่างที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ชี้เบาะแสเป็นฝีมือของกลุ่มคนหน้าเดิมเป็นผู้สั่งการ แต่คนลงมืออาจเป็นคนหน้าใหม่

ในภาวะที่ “บิ๊กตู่” ก็อยู่นิ่งไม่ได้ ประณามแก๊งบึ้มที่ทำลายความสงบประเทศ รีบสั่งการให้เจ้าหน้าที่สอบสวนติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

เร่งยกระดับความเข้มข้น เฝ้าระวังจุดสำคัญต่างๆไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก

ประเด็นเรื่องความมั่นคงจากที่เคยเป็นจุดแข็งของ “ลุงตู่” ถูกพวกป่วนเมืองลูบคมจนออกอาการแกว่ง

มีแผลใหม่ให้ฝ่ายการเมืองรุมขย้ำ ซ้ำเติมเสถียรภาพรัฐบาล

“ลุงตู่” ถูกลดทอนความเชื่อมั่นลง ต่อจากปมปัญหาการเมือง เศรษฐกิจที่เป็นหัวเชื้อเดิม

ดูยังไงก็ไม่เป็นผลดีต่อสถานภาพเสียงปริ่มน้ำแน่

หากคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ก็ยิ่งเสียหายไปกันใหญ่!!!

ทีมข่าวการเมือง