“เชาว์” อดีตรองโฆษกประชาธิปัตย์ อัดรัฐบาลตั้ง “ธรรมนัส” เมินระบบคุณธรรมจริยธรรม เหน็บเจ็บ ถ้ามาตรฐานคนดีตั้งรัฐมนตรีเช่นนี้ ประเทศคงปฏิรูปการเมืองไม่ได้
วันที่ 12 ก.ค. 2562 นายเชาว์ มีขวด ทนายความอาสา อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศอย่างไร ถึงได้คนมีมลทินคดียาเสพติดมาเป็นรัฐมนตรี” ว่า ได้เห็นโฉมหน้า ครม.ใหม่ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไปแล้ว รัฐมนตรีทั้งหมด 36 คน มี 10 คนที่เป็นรัฐมนตรีเดิมในรัฐบาล คสช. และมี 13 คน ที่ได้เป็นรัฐมนตรีป้ายแดง หนึ่งในนั้นคือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเคยถูกถอดยศราชการทหารขณะดำรงตำแหน่ง ร.ท. ในยุครัฐบาลชวน 2 ขณะนั้นใช้ชื่อ พชร ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีใต้ปีก พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องของข้อเท็จจริงในคดีรวมถึงการถูกถอดยศไม่ขอพูดถึงเพราะถือว่ายุติแล้ว
แต่สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือกรณีที่มีการเปิดข้อมูลว่า ร.อ.ธรรมนัส เคยถูกศาลออสเตรเลียพิพากษาจำคุกในคดียาเสพติด ซึ่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาปกป้องว่าไม่ขาดคุณสมบัติเพราะไม่ได้ถูกตัดสินจำคุกโดยศาลไทย ซึ่งเป็นความจริงในแง่กฎหมาย แต่เราจะปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง โดยพูดถึงแต่ข้อห้ามทางกฎหมายโดยละทิ้งคุณธรรมจริยธรรมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่าภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะคล้ายคลึงกับกรณี นายทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นไม่เสียภาษีแล้ว นายสุวรรณ วลัยเสถียร ออกมาอธิบายว่า ไม่ผิดกฎหมายแต่ไม่ขออธิบายเรื่องจริยธรรม
นายเชาว์ ได้อ้างถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) บัญญัติถึงคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยว่า เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปราบโกงที่ตีปี๊บให้ประชาชนช่วยลงประชามติ ต้องการได้คนสุจริตที่ไม่เคยมีมลทินเข้ามาทำงานการเมืองบริหารประเทศ มีการกำหนดการกระทำผิดเป็นการเฉพาะหลายกรณีที่ไม่ควรเข้ามาอยู่ในแวดวงการเมืองซึ่งมีคดียาเสพติดรวมอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นคดีสำคัญที่ไม่อาจยอมให้คนที่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องนี้เข้ามาสู่เส้นทางการเมืองได้
...
การที่ ร.อ.ธรรมนัส ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด แต่ที่ถูกพิพากษาจำคุกเพราะไม่แจ้งเบาะแส โดยติดคุกอยู่ 8 เดือน เป็นความผิดลหุโทษ และได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินแล้ว ซึ่งไม่จริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 102 ได้ให้คำนิยามความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับโทษ ซึ่งจำคุก 8 เดือนของ ร.อ.ธรรมนัส จึงไม่ใช่ความผิดลหุโทษ ยิ่งความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดถือเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่ใช่ความผิดลหุโทษอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องข้ออ้างได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน ขอย้ำว่า พ.ร.บ.ล้างมลทิน มีผลเป็นเพียงการล้างโทษทางวินัยที่ผู้กระทำผิดได้รับเท่านั้น หาได้มีการลบล้างพฤติกรรมการกระทำความผิดอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกลงโทษไปด้วยไม่ ส่วนข้อเท็จจริงในคดีจะไม่ขอก้าวล่วง เนื่องจากไม่มีข้อมูล
“สิ่งที่สังคมควรช่วยกันตั้งคำถามไปถึงผู้นำประเทศคือ เหตุใดจึงตั้งคนที่มีมลทินเช่นนี้เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ ต่อไปเราจะตอบคำถามประชาชนได้อย่างไรว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติด ในเมื่อคนที่พัวพันกับคดียาเสพติดยังได้ดีเป็นถึงรัฐมนตรี และถ้านี่คือมาตรฐานของคนที่ประชาชนคิดว่าดี ใช้ในการคัดสรรคนเป็นรัฐมนตรี ผมคิดว่าประเทศไทยไร้ความหวังที่จะปฏิรูปการเมือง”