แค่เริ่มต้นก็เห็นแล้ว...
ครับ...การประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยมีสมาชิกจาก 2 สภา จำนวน 750 คน เป็นองค์ประกอบ
ก็นั่นแหละ...เมื่อมี 2 ฝ่าย 2 ข้างเป็นกองเชียร์ของแต่ละฝ่ายก็ต้องงัดข้อดี-ข้อเสียมาสนับสนุน และโจมตีเพื่อให้ได้ผลตามปรารถนา
ดูแล้วทำท่าจะยาวระหว่างเขียนต้นฉบับ จึงไม่รู้ผลว่าจะออกมาอย่างไร แต่ด้วยเสียงสนับสนุนที่มากกว่าอย่างชัดเจน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่พลาดบนเก้าอี้นายกฯ
แต่ก็ต้องฝ่าดงการเมืองอันไม่ต่างไปจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่าใดนัก ยังไม่ทันเริ่มต้นก็เจอเข้าไปเต็มๆแล้ว
มีการเสนอชื่อ 2 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพียง 2 คนเท่านั้นที่ต้องสู้กันในสภาฯ
“ชวน หลีกภัย” ทำหน้าที่กรรมการกลางด้วยความเคร่งขรึมด้วย “ลูกเก๋า”
ดีที่ว่านายธนาธรไม่ได้เข้าสภาฯ แม้จะมีการเสนอญัตติให้แสดงวิสัยทัศน์ ปรากฏว่ามีการถอนไปเสียก่อนจึงจบกระบวนท่านี้
มิฉะนั้นคงจะล่อกันเละแน่!!
มีคำถามกันมาว่า เหตุไฉนพรรคเพื่อไทยที่ส่งแคนดิเดตถึง 3 คน คือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และนายชัยเกษม นิติสิริ และเป็นพรรคการเมืองอันดับที่ 1 ที่ได้ ส.ส.เขตจำนวนมากที่สุด
ก่อนหน้านี้เพื่อไทยยืนยันว่า พรรคที่ได้เสียง ส.ส.มากที่สุดจะต้องจัดตั้งรัฐบาลก่อนถึงขั้นจับมือรวม 7 พรรค เพื่อจัดตั้งรัฐบาล มีการลงสัตยาบันกันอย่างชัดเจน
แต่ต้องจำนนกับขั้วพลังประชารัฐ ที่รวบรวมเสียงได้มากกว่า จึงต้องถอยไปจากเรื่องนี้ และมีมติถอนตัวจากการโหวตนายกฯ
สุดท้ายชี้ไปที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เป็นคู่ชิงแทน
เหตุผลแรกก็น่าจะมาจากการมองเห็นแล้วว่าสู้ไปก็ไม่มี ประโยชน์ เพราะแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง และมีปัญหาภายในด้วย
...
เหตุผลต่อมาคือการส่ง “ธนาธร” ลงชงแทน ทั้งๆที่รู้ดีว่า อาจจะเกิดปัญหาในภายหลังเกี่ยวกับคดี “หุ้นสื่ออยู่”
พูดง่ายๆโยนให้ไปรับลูกชู้ตประตูเอง
แน่นอนว่านายธนาธรนั้นได้ประกาศตัวเพื่อชิงนายกฯเองมาก่อนหน้านี้ก็คงคิดว่าเมื่อ “ลูกเข้าตีน” ก็เลยรีบรับทันที
อย่างน้อยก็หวังว่า หากได้แสดงวิสัยทัศน์ในรัฐสภาก็จะสามารถแสดงจุดยืนและโจมตีคู่แข่งได้อย่างเต็มที่
อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกันคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่เล่นลีลากว่าจะตัดสินใจลงมติร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐและสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยมติ 61 ต่อ 16 เสียงแบบขาดลอย
ส่งผลให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องประกาศลาออกจาก ส.ส.เพราะขัดกับ “หลักการ” ของตัวเองและยังมีคนรุ่นใหม่ลาออกจากพรรคไปอีกหลายคน
สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อพรรคมีมติอย่างนี้ก็เท่ากับว่าหากเข้าไปในสภาฯ หากไม่ยกมือสนับสนุนก็ถือว่าขัดมติพรรคซึ่งเป็นหลักการอย่างหนึ่ง
แต่ถ้าไปยกมือสนับสนุนก็ขัด “หลักการ” เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง ทำนองเดียวกันก็เท่ากับว่าคนประชาธิปัตย์ที่เหลืออยู่คือพวกไม่มี “หลักการ”
สรุปเรื่องนี้ก็คือ “น้ำตาท่วมจอ”...ว่างั้นเถอะ!!!
“สายล่อฟ้า”