หมากล้อมการเมือง...

เริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการเพื่อเดินหน้าการปกครองประเทศ ในระบบรัฐสภาที่นักการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งผ่านประชามติมาแล้ว

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาช่วงบ่ายวันนี้ (24 พ.ค.62) จากนั้นจะมีการประชุมวุฒิสภานัดแรก เพื่อเลือกประธานวุฒิสภาและรองอีก 2 ตำแหน่ง

คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะได้มีการตกลงรอบนอกกันไป แล้วว่า ใครจะได้ตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่สำคัญเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขัดแย้ง

ประธานวุฒิสภาคือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธาน สนช.

ประธานวุฒิสภาคนที่ 1 คือ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีต สนช. เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.12) ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ

ประธานวุฒิสภาคนที่ 2 คือ นายศุภชัย สมเจริญ อดีตประธาน กกต.

โผน่าจะออกมาอย่างนี้ไม่น่าผิดพลาด เว้นแต่จะมีเหตุอะไรมาเปลี่ยนแปลงก็ว่ากันไป เพราะทุกคนล้วนมาจากการแต่งตั้งของ คสช. และทำงานร่วมกันมาตลอด 5 ปี

พูดง่ายๆว่าคนกันเองทั้งนั้น...

รุ่งขึ้นอีกวัน (25 พ.ค.62) ซึ่งมีการนัดหมายกันแล้ว จะมีการประชุมสภาผู้แทนฯ เพื่อลงเลือกประธานและรองประธานคนที่ 1 และ 2

ใครจะได้ตำแหน่งสำคัญนี้ยังไม่มีความแน่นอน เพราะมีปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดอันเกี่ยวพันกับการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแยกไม่ออก

นั่นก็หมายความว่า ขั้วไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าขั้วไหนได้เป็นรัฐบาลจะต้องยึดตำแหน่งนี้เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

“พลังประชารัฐ” หากสามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเสนอตัวแทนเข้าชิงเก้าอี้ตัวนี้

แรกๆดูเหมือนจะมีการวางตัว “สุชาติ ตันเจริญ” เอาไว้ตั้งแต่ไก่โห่ แต่เพราะปัญหาความไม่ลงตัวในการแบ่งโควตารัฐมนตรีและการรับผิดชอบงานในกระทรวงต่างๆ

...

ทำให้คิดว่าง่ายแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิดกัน

ทำท่าว่าพลังประชารัฐต้องเปลี่ยนแผนใหม่ จะยกเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เข้ามาร่วมกัน

ทางหนึ่งก็คือ ยกเก้าอี้ตัวนี้ให้ประชาธิปัตย์เพื่อต่อรอง

ว่าไปแล้วการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะขั้วการเมืองต่างก็แย่งชิงกันทุกวิถีทาง เนื่องจากเสียงสนับสนุนนั้นก่ำกึ่งกันแบบว่า ฝ่ายไหนได้เสียงเกินครึ่งแต่ก็ยังปริ่มน้ำ

ขนาดว่ามีการเสนอตำแหน่งสำคัญอย่างนี้ เพื่อดึงพรรคการเมืองนั้นมาสนับสนุนด้วยเป้าหมายที่ต่างกัน

ชื่อ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ผู้อาวุโสแห่งประชาธิปัตย์จึงอยู่ในข้อแลกเปลี่ยน ปรากฏว่านายบัญญัติอ่านเกมนี้ออก จึงประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ขอรับ ไม่ยอมเข้าไปอยู่ในวงล้อมแห่งความขัดแย้ง ขอเป็น ส.ส.เฉยๆดีกว่า

เอาเป็นว่าฝ่ายไหนได้ตำแหน่งนี้ โอกาสที่จะเป็นรัฐบาลจึงมีสูง

ด้านหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ก็คือการโหวตเลือกนายกฯ ที่แม้ว่าฝ่ายพลังประชารัฐจะมีเสียงอยู่ในมือ คือ ส.ส. 126 เสียง พลังประชารัฐ 115 บวกกับ 11 เสียงจากพรรคเล็กบวกกับ 250 ส.ว. ก็จะได้เสียงทั้งหมด 375 เสียง เกิดกึ่งหนึ่งจาก 750 เสียง

เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์มีโอกาสเป็นนายกฯอย่างแน่นอน

แต่ถ้าได้ ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 250 เสียงขึ้นไป ก็ยุ่งเป็นฝอยขัดหม้อแน่.

“สายล่อฟ้า”