ภาพพระราชพิธีบรมราชาภิเษก "ในหลวงรัชกาลที่ 10" ได้ปรากฏสู่สายตาคนทั่วโลกอย่างยิ่งใหญ่ ตามโบราณราชประเพณีที่รักษากันมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางพสกนิกรประชาชนคนไทยจำนวนมาก สวมใส่เสื้อเหลืองเฝ้าฯรอรับเสด็จตลอด 2 ข้างทางเนื่องแน่น ส่งเสียง "ทรงพระเจริญ" กึกก้อง ด้วยความปลื้มปีติ
นี่คือโบราณราชประเพณี ที่มีความ "งดงาม" ยิ่ง และมีอยู่ไม่กี่ประเทศในโลก ซึ่งสะท้อนความผูกพันระหว่าง "สถาบันกษัตริย์" กับ "ประชาชนคนไทย" ที่ยากจะแยกออกจากกันของ "ชนชาติสยาม" ไม่ว่ากาลเวลาหรือยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่านไปอย่างไรก็ตามแต่
กลับมาสู่โหมดการเมือง ในสภาวะเส้นตายการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างน้อย 95% ให้ทันภายในวันที่ 9 พ.ค.นี้ งวดเข้ามาทุกทีทุกขณะ กับ "สัญญาณ" ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ส่ง "ซิก" รัฐบาลปัจจุบัน เหลือเวลาทำงานอีกแค่เดือนกว่า
ตามคิวล่าสุดที่ กกต.กางปฏิทินออกมา เตรียมประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ระบบเขต ในวันที่ 7 พ.ค.และรับรองผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ ใครที่ห่วงปมร้อนรับรองผลไม่ทัน คงได้คลายความกังวล โดยโรดแม็ปที่วางเอาไว้กลับมาราบรื่น ไม่มีร่องรอยต้อง "สะดุด" คอนเฟิร์มได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ภายในเดือน มิ.ย.นี้ ค่อนข้างแน่นอน
ล่าสุด ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "เดอะมาร์ช" พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกป้ายแดง พรรคภูมิใจไทย หนึ่งในขุนพลคนสำคัญของพรรค ในสนามเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา หลายคนคงคุ้นหน้าคาตา กับภาพเดินสายลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ภูมิใจไทย หาเสียง โดยการเลือกตั้งหนนี้ "ภูมิใจไทย" ถือเป็นพรรคตัวแปลสำคัญมากพรรคหนึ่ง ที่ส่งผลต่อโฉมหน้ารัฐบาลไทย ในอีกไม่กี่อึดใจจากนี้ไป กับเกมเดิมพัน "2 ขั้วอำนาจ" ในศึกแย่งชิง "ทำเนียบรัฐบาลไทยคู่ฟ้า" เพื่อชิงเสียงบริหารประเทศของค่าย "เพื่อไทย" และ "พลังประชารัฐ"
...
ทั้งนี้ พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ ได้กล่าวถึง "ทิศทาง" พรรคภูมิใจไทย ภายหลังจากนี้ อีกทั้งยังเปิดเผยถึงอนาคตตัวเอง บนเส้นทางการเมืองแบบเต็มตัว ภายหลังเปลี่ยนบทบาทจากรองประธาน กสทช.มานั่งเก้าอี้โฆษกพรรคภูมิใจไทย ไว้อย่างน่าสนใจ...

Q : เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไปแล้ว อนาคตพรรคภูมิใจไทยจากนี้ไป จะเป็นอย่างไร
A : เราคงต้องรอผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของ กกต. ในวันที่ 9 พ.ค.นี้ ซึ่งการที่ผมตอบอย่างนี้อาจจะดูน่าเบื่อ เพราะเราตอบอย่างนี้มาตลอด แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องให้เกียรติกฎกติกาของประเทศที่ได้วางไว้ ดังนั้นเราต้องอดทน รอเวลาให้มีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ผลการเลือกตั้งที่ออกมาตามหน้าสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวน ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและปาร์ตี้ลิส พรรคภูมิใจไทยยังได้ไม่เท่ากันเลย ดังนั้นทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคการเมืองอื่นๆเชื่อว่า ทุกคนเฝ้ารอเช่นเดียวกัน
"เรื่องราวความไม่ชัดเจนต่างๆทั้งเรื่องจำนวน ส.ส.หรือท่าทีทางการเมือง ที่เราไม่ได้ตอบชัดเจนว่า จะไปร่วมกับฝั่งไหน ทำให้พรรคเองถูกโจมตีว่า ตีกินรอจังหวะเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลอย่างเดียว ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเรามีเหตุผลอย่างที่บอกไปแล้ว และที่สำคัญ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ได้ให้แนวทางการร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นไว้แล้ว 4 ข้อ คือ 1.ไม่ขัดแย้ง 2.รักประชาชน 3.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 4.ทำประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นการให้ความเห็นและการตัดสินใจ จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารพรรค แต่ผมเชื่อว่าพรรคจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อประชาชน"
Q : ใกล้ถึงวันที่ 9 พ.ค.แล้ว พอบอกได้หรือไม่ว่า แนวโน้มพรรคภูมิใจไทย จะร่วมรัฐบาลกับฝั่งไหน ระหว่างพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ
A : พรรคภูมิใจไทยโดยท่านหัวหน้าพรรคฯ พูดมาชัดเจนตลอดว่า ก่อนที่จะมีการประกาศผลการเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการ เรายังคงกำหนดท่าทีทางการเมืองอะไรไม่ได้ อีกทั้งการนับคะแนนก็ยังมีการนับกันใหม่อยู่เลย พรรคจึงตัดสินอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อรอให้ทุกอย่างมีการรับรองอย่างเป็นทางการ เมื่อทุกอย่างถึงที่สุดแล้ว เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทย โดย นายอนุทิน จะตัดสินใจนำพรรคเดินไปในแนวทางที่ดีที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้นพรรคภูมิใจไทยจะไปทำงานร่วมกับฝ่ายไหน หรือไปร่วมงานกับใคร เราจะพิจารณาดูว่า สามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่ พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายพรรคภูมิใจไทยหรือไม่
อย่างไรก็ตามการที่พรรคภูมิใจไทยอยู่เงียบๆ ไม่ใช่เราไม่ได้ทำงาน แต่ผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรค ยังทำงานหนักเช่นเดิม ยังคงลงพื้นที่รับฟังความเห็น รับเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเราทำกิจกรรมทุกอย่าง ด้วยความระมัดระวัง เพราะเข้าใจสถานการณ์ดีว่า มีความเปราะบางที่อาจจะถูกร้องว่าผิดกฎหมายได้ รวมทั้งนโยบายอื่นๆ เราก็พร้อมที่จะผลักดันให้เป็นจริง เช่น นโยบายกัญชาเสรี นโยายแกร็บคาร์ถูกกฎหมาย เรียนฟรีออนไลน์ตลอดชีวิต นโยบายทำงานที่บ้าน และเรียนที่บ้าน สัปดาห์ละ 1 วัน ทวงคืนกำไรให้ชาวนาและเกษตรกร เป็นต้น

Q : การตัดสินใจร่วมรัฐบาล อยู่ที่พรรคแกนนำจะยอมให้พรรคภูมิใจไทย ดำเนินนโยบายกัญชาเสรีใช่หรือไม่
A : เรื่องการเปิดเสรีกัญชา เป็นนโยบายหลักที่พรรคภูมิใจไทยใช้เป็นแคมเปญหาเสียงช่วงที่ผ่านมา แน่นอนว่าเราต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นได้จริง แต่มาถึงตอนนี้เรายังไม่ได้รับการประสาน หรือได้รับข้อเสนอเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นในการจัดตั้งรัฐบาล จึงยังบอกไม่ได้ว่าเขาจะรับหรือไม่รับนโยบายนี้ อย่างไรก็ตามเราขอย้ำว่าเราจะผลักดันกัญชาเสรี ที่เป็นนโยบายของพรรคให้สำเร็จ เพราะเราไมได้คิดถึงประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราคิดถึงประโยชน์กับส่วนรวม อย่างงานกัญชาที่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ผ่านมา คนที่ไม่ได้เดินทางก็จะคิดในแง่ลบว่า เป็นเพียงงานสันทนาการ แต่ความเป็นจริง ผมกับนายอนุทิน และส.ส.ของพรรค ได้ลงพื้นทีไปสังเกตการณ์ เห็นได้ชัดว่า 70-80 % ของงาน คือ ผู้ป่วยโรคที่จำเป็นต้องใช้กัญชาเข้ามาช่วยในการรักษา เช่น โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท โรคสมองพิการ ปวดหัวไมเกรน เป็นยาระงับปวด เป็นยาแก้อักเสบ แก้โรคหอบหืด โรคชัก เป็นต้น ที่สำคัญกัญชายังสามารถนำมารักษามะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย ซึ่งผู้ป่วยที่มาร่วมงานในวันนั้น เพราะเขาขาดโอกาสในการเข้าถึงการรักษาด้วยกัญชา เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้คิดนโยบายแก้ปัญหา เพื่อเปิดโอกาสทั้งด้านการรักษา และด้านเศรษฐกิจไว้หมดแล้ว

Q : ถามถึงอนาคตส่วนตัว เวลานี้มีแนวโน้มท่านอาจจะไม่ได้เป็น ส.ส. รู้สึกอย่างไร
A : ต้องบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องจำนวน ส.ส.อย่างเป็นทางการ ก็คงต้องรอความชัดเจนที่ กกต.จะประกาศอย่างเป็นทางการก่อน แต่เมื่อผมได้ตัดสินใจเดินเส้นทางการเมืองแบบเต็มตัวแล้ว ก็ไม่เคยคิดจะถอยหรือล้มเลิกกลางทาง แน่นอนว่าการได้เป็น ส.ส. ถือเป็นเรื่องที่ดีมีเกียรติ เป็นโอกาสให้เราได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชน ในการผลักดันนโยบายหรือโครงการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ดังนั้นผมเชื่อว่าฟ้าได้ลิขิตบทบาทไว้แล้ว หากจะไม่ได้เป็น ส.ส.ผมยังมีประสบการณ์ ความรู้ ความเชียวชาญ ที่จะช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง หรือในด้านอื่นๆได้ หากเราคิดจะทำดีอยู่ตรงไหนมันก็ทำได้เช่นกัน อย่างช่วงที่ผ่านมาที่ผมเงียบหายไป ก็เพราะต้องรอคะแนนอย่างเป็นทางการก่อน และระหว่างที่รอ ผมก็ยังคงทำหน้าที่สอนหนังสือให้กับนักเรียนนักศึกษาอยู่ ก็ถือเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ผมภูมิใจและเต็มใจทำ

Q :ความรู้สึกส่วนตัวกับการเปลี่ยนบทบาท จาก รองประธาน กสทช. มาเป็นโฆษกพรรคฯ
A : จะว่าไปแล้วก็มีความเหมือนและความต่างอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งในความความแตกต่างยอมรับว่า ต่างกันราวฟ้ากับเหว ระหว่างงาน กสทช. กับงานการเมือง ซึ่งงานในหน้าที่ กสทช.เป็นงานในเชิงเทคนิค เชิงวิชาการ เทคโนโลยีการสื่อสาร มีความเกี่ยวพันกับชนชั้นกลางและคนชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากงานการเมืองในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทยที่ต้องทำงาน เพื่อภาพลักษณ์ของพรรค ที่สำคัญคือการส่งข้อมูลข่าวสารต่างๆของพรรคไปถึงประชาชน ที่เราจะต้องทำให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากที่สุด ซึ่งการที่เรามีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้รู้หลักการสื่อสาร สามารถเลือกช่องทางการสื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการสื่อสารเรื่องนโยบายของพรรค ที่ถือเป็นจุดขายสำคัญ ผมเชื่อว่ามีส่วนทำให้เราได้คะแนนในการเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้นเป็นกอบเป็นกำ แต่สิ่งหนึ่งที่มีความเหมือนกันระหว่างงาน กสทช.กับงานการเมือง คือ การได้รักษาผลประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน
"นอกจากนี้สำหรับการทำงานการเมืองที่ผ่านมาในช่วงเลือกตั้ง ผมได้เป็นทีมหาเสียงให้กับพรรค ซึ่งบางวันต้องลงพื้นที่หลายจังหวัดติดต่อกัน บางวันต้องขึ้นรถแห่ บางวันต้องเดินตลาด เดินเข้าชุมชน ทำให้ผมได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของประชาชน ที่ยังขาดโอกาส ขาดความช่วยเหลือ เพื่อเลี้ยงปากท้อง ดังนั้นการที่ผมตัดสินใจลงสนามการเมือง จึงเป็นเหมือนการเติมฝัน สานงานต่อจากตำแหน่ง กสทช. ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเช่นกัน แต่เป็นการช่วยเหลือในลักษณะที่ต่างกัน การทำงานงานการเมืองทำให้ได้สัมผัสคนในระดับฐานราก ต่างไปจากการทำงาน กสทช. ที่เราได้สัมผัสชีวิตส่วนใหญ่ของคนชั้นกลางขึ้นไป ก็ถือเป็นงานที่ท้าทาย แต่สุดท้ายทุกอย่างคือประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับผม"