“วิษณุ” แปลกใจ คำวินิจฉัยหุ้นสื่อ ชี้ ใช้ยึดเป็นมาตรฐานไม่ได้ รับส่วนตัวน่าเห็นใจ ผู้สมัคร ส.ส.บางราย ผู้ถือหุ้นแล้วไม่ได้เขียนเติม "วัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อมวลชน" ลงไป ก็ไม่น่าเข้าข่าย

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคำวินิจฉัยของศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง ที่ 1706/2562 ระหว่างผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร ยื่นคำร้องว่า นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ผู้คัดค้าน ขาดคุณสมบัติ เป็นผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง หรือเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนในกิจการ สื่อมวลชน จะถือเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีหุ้นสื่อฯ ของผู้สมัคร ส.ส.คนอื่นหรือไม่ ว่า เมื่อศาลฎีกาตัดสินมาอย่างนั้นใน 2 คดี คือ คดีที่ จ.สกลนคร และอ่างทอง ตนยอมรับว่าเป็นเรื่องแปลกที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างนั้น เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ใช้คำว่า เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น ในกิจการที่เป็นสื่อสารมวลชน ซึ่งคำว่ากิจการนั้น หากถามตนคาดว่าน่าจะเป็นคนละอย่างกับคำว่า บริษัทหรือนิติบุคคล และในความเป็นจริง คนที่ถือหุ้นเขาไม่รู้ว่าบริษัทนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง แต่มีบางรายที่ในวัตถุประสงค์ตามแบบมาตรฐานนั้นไม่มี แต่เขาเขียนเติมลงไปเอง ในราย จ.สกลนคร และอ่างทอง เขาไปเขียนเติมวัตถุประสงค์ตอนยื่นจดทะเบียนว่า ประกอบกิจการสื่อมวลชน ซึ่งรายละเอียดมากกว่าในแบบมาตรฐาน ศาลจึงมองว่ามีความตั้งใจกระทำการ แต่ถ้าเป็นรายอื่นที่ถือหุ้นธรรมดาในบริษัทแล้ววัตถุประสงค์ไม่ได้เขียนเติมไป แต่เป็นตามแบบมาตรฐาน ตนรู้สึกเห็นใจว่า แบบนี้ไม่น่าจะเข้าข่าย และเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นก็มีคนไปร้องศาลเพื่อให้พิจารณา ทั้งนี้ ยังมีกรณีที่ จ.สระแก้ว ซึ่งศาลกลับตัดสินว่าไม่เป็นลักษณะต้องห้าม

...

“ปกติเมื่อกระบวนการผ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าจะหาว่าผิดก็ต้องเข้าไปสู่กระบวนการที่ขอให้ศาลเป็นคนสั่งให้พ้น เรื่องนี้จึงตอบลำบาก เพราะเป็นคดีอยู่ ผมไม่อยากลงลึก ดังนั้น 2 คดีดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐาน คงพูดอย่างนั้นไม่ได้ ต้องร้องศาลก่อน ซึ่งอาจจะมีการเปรียบเทียบแบบคดีต่อคดี เพียงไม่กี่คดีก็รู้แล้ว แต่วันนี้คดีที่ต่างจาก จ.สกลนคร ยังไม่มีบรรทัดฐาน” นายวิษณุ กล่าว.