กกต.เคาะชัดเจน เผยคิวรับรองส.ส. 7ประกาศแบ่งเขต ‘ปาร์ตี้ลิสต์’วันที่8
“บิ๊กตู่” เผยมีรัฐบาลใหม่เดือน มิ.ย. สิ่งที่ทำมา 5 ปีรัฐบาลใหม่ต้องสานต่อ ย้ำช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาลต้องปลอดภัย พิธีบรมราชาภิเษกต้องเรียบร้อย เปิดไทม์ไลน์ 12 พ.ค.นัดรายงานตัว ส.ส.-ส.ว. เลือกประธานสภา-ประธานวุฒิ 21 พ.ค. ก่อนเลือกนายกฯได้ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.เป็นต้นไป เล็งใช้หอประชุมใหญ่ มธ.เป็นสถานที่จัดประชุม กกต.จ่อรับรอง ส.ส. เขต 7 พ.ค.-บัญชีรายชื่อ 8 พ.ค. พร้อมยึดสูตร กรธ.คำนวณปาร์ตี้ลิสต์ เรื่องร้องเรียนยังนัวเนีย “ศรีสุวรรณ” ลุยต่อยื่นร้อง กกต.เอาผิด พปชร.-พท.ถือหุ้นสื่อ พร้อมทิ่ม “สนธิรัตน์” สัญญาจะให้ อนค.ลั่นไม่ยอมแน่ เล็งฟ้องกลับเร็วที่สุด “สมชัย” เตือนฟัน “ธนาธร” ว่าที่ส.ส.อาจต้องหายตามไปครึ่งสภา พท.แฉรัฐใช้งบกลางกว่า 4 พันล้านแจกเงิน อสม. เอื้อ พปชร. ลุยร้อง กกต.แขวนว่าที่ ส.ส.พปชร.ทั้งประเทศ กกต.ไม่หวั่น “ธนาธร” ฟ้อง 157 กระแทกกลับมีหลักฐานไหมว่า กกต.ถูกแทรกแซง
แม้การเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 จะผ่านพ้น
กว่าเดือนเศษแล้ว แต่ยังไม่มีการประกาศรับรองความเป็น ส.ส.อย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งยังเกิดปัญหาติดขัดเรื่องการจัดเลือกตั้งในบางเขต รวมถึงการนับคะแนน อย่างไร ก็ตาม ล่าสุด นายกฯระบุว่า จะมีรัฐบาลใหม่ภายในเดือน มิ.ย. ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยไทม์ไลน์การเลือกประธานรัฐสภา เลือกนายกฯออกมาแล้ว
นายกฯเผยมีรัฐบาลใหม่เดือน มิ.ย.
เมื่อเวลา 10.45 น. ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.เป็นประธานพิธีเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2562 พร้อมกล่าวปราศรัยว่า 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทำทุกอย่างเพื่อประเทศและคนไทยให้เกิดความมั่นคงยั่งยืน ไม่ให้มันล้ม และรัฐบาลนี้มีเวลาทำงานอยู่อีกประมาณ 1 เดือนจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ในเดือน มิ.ย. ช่วงนี้เตรียมเอากฎหมายทำเสร็จแล้วออกกฎหมายลูก และกฎหมายที่พิจารณายังไม่เสร็จต้องพิจารณาต่อไปในรัฐสภาที่มีรัฐบาลใหม่ ยืนยันทุกอย่างที่ทำมา 5 ปีจะสืบสานต่อในรัฐบาลใหม่ ทำเต็มที่ เปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ความสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพของรัฐบาล ไปสู่การยอมรับจากเวทีต่างชาติ
...

เปลี่ยนผ่านรัชกาลต้องปลอดภัย
นายกฯกล่าวว่า อยากให้กลับไปทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ขณะนี้เราอยู่ในรัชกาลที่ 10 เป็นรัชกาลปัจจุบัน เป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านรัชกาล เหลือแต่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราต้องทำให้บ้านเมืองปลอดภัย สงบสุขเรียบร้อย มีเสถียรภาพ เหมือน 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยความมั่นคง ด้วยความเข้าใจ เดินหน้าประเทศไทยไปพร้อมกันด้วยการปฏิรูปประเทศ ตนทำคนเดียวไม่ได้ ทั้งนายกฯ รัฐบาล ข้าราชการซึ่งดีๆมีเยอะเกิน 90% ถ้าไม่ดีร้องมาตรวจสอบแล้วเอาออกไป ถ้าเราสมยอมกัน จ่ายค่าทำผิดกฎหมาย แล้วด่ากันไปกันมา มันไม่เกิดประโยชน์ ต้องสร้างความยั่งยืนให้ได้ ไม่ล้มลุกคลุกคลานอีกต่อไป บนหลักคิดที่ถูกต้อง เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เป็นประชาธิปไตยที่คนไทยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ อย่าเกลียดชังกันอีกต่อไป เฮทสปีชมีมากมายในโทรศัพท์ อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก ต้องดูแลประเทศ ตนสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเต็มที่ส่งต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต่อไป 5 ปี รัฐบาลมีผลงานออกมามากพอสมควร แต่ยังไม่จบ ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไปด้วยหลักชัยประเทศ คือ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำให้ตนได้หรือไม่
พิธีบรมราชาภิเษกต้องเรียบร้อย
นายกฯกล่าวว่า เราต้องเพิ่มความรักความสามัคคีให้มากยิ่งขึ้น อย่าให้ใครมาทำให้กร่อนลงไป ถ้าเมื่อใดเราขาดความรัก ความสามัคคี เราก็จะเสมือนกิ่งไผ่เล็กๆกิ่งเดียวแล้วเขาก็หัก แต่เมื่อไหร่ที่เรารวมไม้ไผ่เป็นกำจะทำให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยกันทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำอะไรที่นอกกฎหมายเท่านั้นเอง จะไม่มีใครได้รับผลกระทบจากกฎหมายทั้งสิ้น นั่นคือความเป็นธรรมของกฎหมาย ประเทศไทยต้องอดทนให้ได้ ถ้าทุกคนพบกันด้วยรอยยิ้ม ตนก็มีกำลังใจ ขาไม่อ่อน ทุกคนมีความหวัง ตนก็มีความหวัง และยืนยันว่าจะทำต่อไป จะต้องทำให้รัฐบาลใหม่ทำได้แบบนี้ด้วย อยู่ที่พวกเราทุกคนที่เลือกมาทั้งสิ้น ส.ส.ต่างๆทั้งหมด หวังอย่างยิ่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่างประเทศชื่นชมความสงบเรียบร้อยของไทย อย่าให้ใครมาทำร้ายประเทศโดยเด็ดขาด
สภาฯนัด ส.ส.–ส.ว.รายงานตัว 12 พ.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงนามในหนังสือสรุปมติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารราชการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 8/2562 เพื่อแจ้งเวียนภายในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยรายละเอียดบางช่วงรายงานถึงผลการหารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เกี่ยวกับขั้นตอนการรับรายงานตัวของ ส.ส.และ ส.ว. การเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และการให้ความเห็นชอบนายกฯ โดยระบุว่ากรณี กกต.ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างช้าที่สุดในวันที่ 9 พ.ค. คสช.ต้องคัดเลือก ส.ว.จำนวน 250 คน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 11 พ.ค. คาดว่าจะนำรายชื่อ ส.ส. และ ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งภายในวันที่ 12 พ.ค.
จากนั้นจะจัดให้มีการรายงานตัว โดย ส.ส.จะรายงานตัวที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) สำหรับ ส.ว.จะรายงานตัวที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น
คาดรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา 18–19 พ.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ดำเนินการจัดทำพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก โดยประสานกับทั้ง 2 สภาเพื่อให้ทราบจำนวนผู้มารายงานตัว หากได้จำนวนพอสมควรแล้ว จะนำ พ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภาฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ และขอพระราชทานกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จ พระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ซึ่งนายวิษณุคาดว่ารัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 18-19 พ.ค. และตามธรรมเนียมปฏิบัติจะจัด ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งจะมี การประสานกับสำนักงานราชเลขาธิการในเรื่องสถานที่อีกครั้ง สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก เพื่อเลือกประธานและรองประธาน รวมไปถึงการประชุมวุฒิสภาครั้งแรก เพื่อเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา เบื้องต้นจะจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยนายวิษณุเห็นว่าควรจัดประชุมทั้ง 2 สภาวันเดียวกัน ในวันที่ 21 พ.ค. เพื่อให้การทูลเกล้าฯ รายชื่อประธานและรองประธานของทั้ง 2 สภา ดำเนินการได้ในคราวเดียวกัน
เลือกนายกฯ 24 พ.ค.เป็นต้นไป
ส่วนการประชุมรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบนายกฯนั้น นายวิษณุระบุว่า หากมีการทูลเกล้าฯแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาฯ รวมไปถึงประธานและรองประธานวุฒิสภา ในวันที่ 23 พ.ค. จะสามารถเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกนายกฯได้ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.เป็นต้นไป แต่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่าหอประชุมใหญ่ทีโอที ไม่สามารถรองรับสมาชิกรัฐสภาจำนวน 750 คนได้จึงประสานขอใช้หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นสถานที่ประชุมรัฐสภา แต่อาจติดเรื่องสถานที่จอดรถไม่เพียงพอ ซึ่งนายวิษณุแนะนำว่า อาจต้องรอให้ประธานสภาฯ ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นผู้พิจารณาเรื่องสถานที่ประชุมอีกครั้ง ทั้งนี้นายวิษณุยังระบุว่า ขั้นตอนตามมาตรา 272 ในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ว่าด้วยการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรเป็นนายกฯนั้น ต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอรายชื่อบุคคล จนถึงการลงมติให้ความเห็นชอบ ไม่จำเป็นต้องแยกไปเสนอรายชื่อในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อน
มธ.รับถูกทาบทามขอใช้สถานที่
นายศุภสวัสดิ์ ชัชวาล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝ่ายบริหารท่าพระจันทร์ กล่าวถึงกระแสข่าวสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเตรียมหาหอประชุมเพื่อประชุมรัฐสภาเลือกนายกฯว่า ก่อนหน้ามีผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาฯพูดคุยกับตนอย่างไม่เป็นทางการถามถึงการใช้หอประชุมใหญ่ท่าพระจันทร์ในการจัดประชุม เข้าใจว่าเป็น หนึ่งในตัวเลือก ตนสอบถามไปยังอธิการบดีก็ไม่มีปัญหาอะไร มีข้อติดขัดเพียงระบบเครื่องเสียงซึ่งทางสภาฯระบุหากจะมาใช้จะเป็นผู้เข้ามาปรับปรุง สำหรับหอประชุมใหญ่ท่าพระจันทร์ถือว่ามีความจุเพียงพอในการประชุมรัฐสภาที่มีผู้เข้าร่วมประชุม 750 คน เนื่องจากมีความจุทั้งชั้น 1 และชั้น 2 กว่า 2,500 ที่นั่ง

กกต.จ่อรับรอง ส.ส.เขต 7 พ.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ประชุม กกต. มีมติเห็นชอบที่จะให้มีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในวันที่ 7 พ.ค. และประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในวันที่ 8 พ.ค. ก่อนวันสุดท้ายของกรอบระยะ 150 วัน ที่ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ซึ่ง กกต.ไม่สามารถประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ทั้ง 2 แบบพร้อมกันได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 127 กำหนดให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตก่อนแล้วจึงดำเนินการคิดคำนวณ จัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 129 ก่อนที่จะประกาศรับรอง
บี้จังหวัดสรุปเรื่องร้องเรียน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เมื่อวันที่ 25 เม.ย. สำนักงาน กกต.ได้มีหนังสือแจ้งเวียนถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งทุกจังหวัดให้ตรวจสอบและเร่งรัดสรุปสำนวนเรื่องร้องคัดค้านโดยเฉพาะกรณีที่ผู้ถูกร้อง เป็นผู้ที่อยู่ในเกณฑ์พิจารณาได้รับเลือกตั้งโดยให้เสนอเรื่องเข้ามายังสำนักงาน กกต.กลางให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ เพื่อจะเป็นข้อมูลให้กับ กกต.ในการพิจารณาว่าเขตใดจะประกาศรับรองผล และเขตใดที่ กกต.จะแขวนไว้ยังไม่ประกาศรับรองผลในช่วงต้นสัปดาห์หน้า
ยึดสูตร กรธ.คำนวณปาร์ตี้ลิสต์
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับการคิดคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เบื้องต้นสำนักงาน กกต.จะเสนอให้ยึดวิธีคำนวณของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีพรรคการเมืองซึ่งได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยส.ส. 1 คน จำนวน 27 พรรคได้รับการจัดสรร เนื่องจากยังไม่มั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ทันก่อนวันที่ 9 พ.ค.หรือไม่
ประธาน กกต.ยังอุบไต๋ไม่เปิดสูตร
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงาน กกต. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยัน กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ภายในวันที่ 9 พ.ค.นี้ ส่วนจะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพียงอย่างเดียว หรือจะมีแถลงข่าวด้วยหรือไม่นั้น ยังไม่ได้พิจารณา ต้องรอฟังความเห็นจากที่ประชุมก่อน สำหรับสูตรที่ใช้คำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กกต.มีความชัดเจนในการพิจารณาตามกรอบกฎหมายอยู่แล้ว แต่ยังไม่ขอให้รายละเอียดว่าเป็นสูตรคำนวณใด และยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าจะเปิดเผยสูตรให้สาธารณชนรับทราบก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้งหรือไม่
เพื่อไทยแทงหนังสือร้องยุบ พปชร.
ต่อมาเวลา 10.00 น. นายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและสถิติ กองอำนวยการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ กรณีนายชาญวิทย์ วิภูศิริ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 15 เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนระบุวัตถุประสงค์ว่าประกอบกิจกรรมหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชน มีลักษณะต้องห้าม ล่าสุดยังตรวจสอบพบว่านายชาญวิทย์เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย โดยใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 132 ระบุไว้ว่า กรณีที่มีผู้สมัครทำให้การเลือกตั้งนั้นเป็นไปโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม จะต้องมีการเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณายุบพรรคนั้น อยากให้ กกต.ตรวจสอบกรณีการถือหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.จากทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน เพราะก่อนหน้านี้ผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ก็ถูกศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัครจากกรณีดังกล่าวไปแล้ว สำหรับพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครแล้วไม่มีใครที่ถือครองหุ้นสื่อ
ตามจิก “เสรีพิศุทธ์” ขาดคุณสมบัติ
ขณะที่นางวิรณัฎฐ์ ณัฏฐมั่งคั่ง ภรรยาของ พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง อดีตรองผู้บังคับการสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อดีตนายเวรของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. รับมอบอำนาจให้เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ว่าเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (8) หรือไม่ กรณีเคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ เนื่องจาก พ.ต.อ.ทินกรเคยร้องเรียนกล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เมื่อปี 2551 ว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง ต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จนกระทั่งถูกนายสมัครสั่งให้ออกจากราชการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 73/2551 จึงตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังไม่ถูกให้กลับเข้ารับราชการอีก จึงขอให้ กกต. ตรวจสอบว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่
ลุยต่อ พปชร.–พท.ถือหุ้นสื่อ
ขณะเดียวกันเวลา 10.30 น. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยเปิดเผยว่า ได้มายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อตรวจสอบการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนของนายชาญวิทย์ วิภูศิริ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นกรรมการบริษัทภัทรเฮ้าส์แอนด์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการให้บริการสื่อสารมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์และประชาสัมพันธ์ และขอให้ตรวจสอบ พล.ต.ต.ลัทธสัญญา เพียรสมภาร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการบริษัท มอร์รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม การสื่อสารทุกชนิด และเป็นกรรมการบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด ประกอบกิจการให้บริการรับชมภาพ และรับฟังเสียงจากสัญญาณระบบดิจิทัล และนายนพชัย ศรีสุวนันท์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการบริษัท เจ-บิ๊คส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ขอให้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังสมัคร ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่น-2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
ทิ่ม “สนธิรัตน์” หาเสียงสัญญาจะให้
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า นอกจากนี้ยังขอให้กกต.ตรวจสอบและวินิจฉัยเอาผิดกรณีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี โดยสัญญาว่าจะเพิ่มเงินบัตรคนจน เข้าข่ายเสนอให้สัญญาว่าจะให้อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 73 (1) และหรือ (2) ประกอบมาตรา 158 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 หรือไม่ด้วย

ไม่หวั่นไหว “ธนาธร” จ่อฟ้องกลับ
นายศรีสุวรรณยังกล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขู่จะฟ้องกลับกรณีที่ยื่นให้ กกต.เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งปมถือหุ้นสื่อฯว่า เป็นสิทธิของนายธนาธรที่จะฟ้อง ยินดีและตนจะฟ้องกลับเช่นเดียวกัน ในฐานะที่นายธนาธรเอาความเท็จมาชี้แจง การยื่นร้องเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน ขณะนี้กำลังดูเอกสารที่นายธนาธรจะโพสต์ออกมาเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่พอใจก็จะแสวงหาข้อมูลมายื่นเพิ่มเติมต่อ กกต. ส่วนตัวไม่เคยกลัวการพูดจาของนักการเมืองเพราะถือว่าบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ร้องทุกพรรคอยู่แล้วหากมีข้อมูล ถ้านายธนาธรไม่ผิดก็จะได้ประโยชน์ต่อตัวเขาเอง สามารถไปพูดกับฐานเสียงได้ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก้าวเข้าสู่การเมืองอย่างสง่างาม
อนค.ฟ้องแน่ “ศรีสุวรรณ”
นายชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงแนวทางการต่อสู้ของพรรคอนาคตใหม่ ภายหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากรณีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า พรรคอนาคตใหม่ยืนยันจะต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย ความจริงแล้วคดีที่นายธนาธรเผชิญอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่คดีตามกฎหมาย แต่เป็นคดีทางการเมือง พูดง่ายๆคือมีเจตนาจะทำทุกวิถีทางเพื่อกันไม่ให้นายธนาธรเข้าสภา ส่วนที่นายธนาธรระบุว่าอาจจะฟ้องร้องว่าที่ ส.ส.ของพรรคการเมืองอื่นที่มีคดีหุ้นสื่อเช่นกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าพรรคอนาคตใหม่ต้องการประกาศตัวเป็นศัตรูกับพรรคอื่น แต่การที่พรรคอนาคตใหม่ถูกกระทำในกรณีนี้เช่นนี้ เราต้องให้ข้อมูล หรือร้องเรียน หรือสงวนสิทธิใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อจะได้เห็นว่าทุกพรรคการเมืองได้รับการปฏิบัติในมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ แต่ในส่วนวิธีการเราคงไม่ฟ้องร้องพรรคอื่น เพียงแต่ติดตามข้อมูล สำหรับกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ถือว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายร้องความเท็จ หรือฟ้องเท็จ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา โดยมีว่าที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่เป็นผู้เสียหาย ดังนั้น พรรคจึงยืนยันสงวนสิทธิที่จะดำเนินคดีอาญากับนายศรีสุวรรณ และจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด
สู้ด้วย ก.ม.ไม่นำประชาชนลงถนน
เมื่อถามว่า การที่นายธนาธรระบุว่า เส้นของความอดทนกำลังใกล้จะหมด ทำให้บางฝ่ายมองว่ากรณีนี้อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวบนท้องถนนของประชาชน นายชำนาญตอบว่า การเดินขบวนเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เราไม่สามารถห้ามผู้ที่รักหรือสนับสนุนพรรคได้ แต่แน่นอนว่าเราจะไม่ใช่ฝ่ายนำ เพราะจากประสบการณ์ 10-20 ปีที่ผ่านมา เมื่อประชาชนลงถนน ก็ล้วนแล้วแต่ตายฟรี เราไม่อยากเห็นการสูญเสียหรือบาดเจ็บอีกแล้ว ดังนั้นจึงขอเตือนไปยังผู้มีอำนาจในปัจจุบันว่าสิ่งที่ทำอยู่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียได้ เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่าแกนนำพรรคอนาคตใหม่จะไม่ชักชวนหรือนำประชาชนเคลื่อนไหวบนท้องถนนใช่หรือไม่ นายชำนาญตอบว่า “ไม่ชวนแน่นอน เรายืนยันจะใช้รัฐสภาเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นเราจะเข้ามาทำไม”

“สมชัย” ชี้ฟันปมหุ้นบานไม่หุบแน่
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.และผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า หากจะเล่นนายธนาธร ต้องไปให้ถูกช่อง และมองเห็นผลที่จะตามมา ซึ่งหากกรณีที่ กกต.เลือกจะวินิจฉัยกรณีของนายธนาธรเป็นกรณีเริ่มต้นก็จะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีถือหุ้นสื่ออีกนับร้อยคดีที่ตามมาว่า ถือเป็นการกระทำที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ที่นอกจากจะเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแล้วยังต้องดำเนินการต่อทั้งคดีอาญา การดำเนินการต่อหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคไปจนถึงการยุบพรรคด้วย เมื่อนั้นจักรวาลมาร์เวลคงสูญนักการเมืองไทยไปครึ่งจักรวาลตามคำทำนาย

“เชาว์” จวก “มีชัย” ต้นเหตุทางตัน
นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “เมื่อนักกฎหมายเขียนกฎหมายพาประเทศวุ่นวายถึงทางตัน” ว่า ผ่านการเลือกตั้ง 1 เดือนเศษ ส่อเค้าว่าจะมีความวุ่นวายตามมาอีกมาก ไม่สามารถประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.ได้แม้แต่รายเดียว เพราะกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 127 กำหนดให้ กกต.ประกาศผล ส.ส.เขตได้เมื่อตรวจสอบแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ทำให้ต้องรอไปประกาศพร้อมกัน สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อกำลังบานปลาย กรณีคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อกลายเป็นหลุมดำใหญ่มีผู้เข้าข่ายจำนวนมาก ถ้า กกต.จะประกาศรับรองไปก่อนแล้วค่อยส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายหลัง ก็ยังสร้างความปั่นป่วนอย่างรุนแรงเนื่องจากทุกคะแนนของ ส.ส.เขตจะต้องตัดออกไปไม่สามารถนำมาคำนวณได้ เป็นนวัตกรรมเพียงหนึ่งเดียวในโลก ตามกติกาบัตรใบเดียวที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ และพวกออกแบบไว้ ซึ่งจะกระทบถึงการตั้งรัฐบาลทำให้เกิดความผันแปรตลอดเวลา
ไร้สามัญสำนึกรับผิดชอบ
นายเชาว์ระบุด้วยว่า คนที่ต้องรับหน้าเสื่อเป็นหนังหน้าไฟกลายเป็น กกต. ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่นายมีชัยกับพวกร่างไว้ บอบช้ำหนักโดนด่าไปทั่วประเทศ แต่กลุ่มคนที่ร่างกฎหมายกลับไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ แถมพูดหน้าตาเฉยว่าหมดหน้าที่รับผิดชอบแล้ว คำพูดของนายมีชัยชี้ให้เห็นถึงการขาดสามัญสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติอย่างรุนแรง ทำให้ประเทศชาติเสมือนเมืองในหมอกมองหาทางออกไม่เจอ คงมีเพียงกลุ่มเดียวที่ได้ประโยชน์คือ คสช.ที่จะยังอยู่ในอำนาจต่อไป นายมีชัยและพวกลอยตัวอยู่เหนือปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้น ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายเป็นทนายความ สิ่งที่ยึดถือตลอดคือ ไม่รับใช้โจร ถ้านักกฎหมายไปรับใช้โจรเท่ากับเปิดทางให้โจรปล้นได้อย่างถูกกฎหมาย บ้านเมืองจะวุ่นวาย ไม่ต่างอะไรกับการพายเรือให้โจรนั่งหรือโจรรับใช้โจร จะเลวยิ่งกว่าโจร

พท.แฉรัฐแจกเงิน อสม.เอื้อ พปชร.
วันเดียวกัน เวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ว่าที่ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาล โดย พล.ต.ท.วิโรจน์กล่าวว่า ก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 วัน คณะรัฐมนตรีอนุมัติโอนเงินให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการหวังผลทางการเมืองและผิดกฎหมายเลือกตั้ง ขณะที่นายชูศักดิ์กล่าวว่า จากการตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยพบว่าพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายขึ้นค่าตอบแทนให้ อสม. ต่อมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2561 จ่ายงบกลางวงเงิน 4,218 ล้านบาท เพิ่มค่าตอบแทนให้ อสม. 1 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ จากเดือนละ 600 บาทเป็น 1,000 บาท โดยจ่ายเงินย้อนหลัง 3 เดือนรวมเป็นคนละ 3,000 บาท เมื่อช่วงวันที่ 20-22 มี.ค.ก่อนเลือกตั้งเพียง 2-3 วัน มีพฤติกรรมเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ทางการเมืองและจูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งเลือกพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นแคนดิเดตนายกฯในพรรคดังกล่าว ที่สำคัญขณะนี้ผู้บริหารของพรรคพลังประชารัฐก็ยังอยู่ในตำแหน่ง ดังนั้นพรรคจึงส่งตัวแทนไปยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบความเชื่อมโยง ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ส่อว่าใช้อำนาจ ครม.เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ให้พรรคการเมือง อาจทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบ ไม่สุจริตเที่ยงธรรม
พ่วงข้อหาใช้งบกลางผิดวิถี
นายชูศักดิ์กล่าวว่า แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไปฐานะรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ แต่พฤติกรรมที่ ครม.มีมติเรื่องดังกล่าว และพรรคพลังประชารัฐนำไปหาเสียง สังคมสามารถพิจารณาได้ว่ามีความเชื่อมโยงที่เอื้อประโยชน์ให้กับพรรค การเมืองในการหาเสียงเลือกตั้ง อีกทั้งยังมีประเด็นการใช้งบกลางผิดวัตถุประสงค์ที่ต้องใช้จ่ายเพื่อการภัยพิบัติฉุกเฉิน หรือเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนเท่านั้น แต่การให้ค่าตอบแทนปกติจะให้วงเงินงบประมาณไม่ใช่งบกลาง
พฤติการณ์ชี้ชัดพูดปุ๊บเงินมาปั๊บ
นายชวลิตกล่าวว่า พฤติกรรมที่เชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐกับการอนุมัติงบประมาณของรัฐบาลนั้นมีความสอดคล้องกัน เพราะการหาเสียงในพื้นที่ตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐระบุว่า จะมีการจ่ายเงินให้ อสม. ตามมาตรการปฏิบัติการเชิงรุก และก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 วันพบการจ่ายเงินดังกล่าวจริง ผ่านทางบัญชีธนาคารให้กับ อสม.
ถ้าเป็นรัฐบาลปกติติดคุกไปแล้ว
นายภูมิธรรมกล่าวว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีสิทธิที่จะใช้อำนาจของตนเองได้แบบไม่รู้จบ ซึ่งขัดต่อธรรมเนียมปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขอประณามผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่ตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ของบางฝ่าย กรณีการใช้งบกลางเพื่อจ่ายค่าตอบแทนให้ อสม. ก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 วัน หากเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา หรือรัฐบาลปกติพฤติกรรมดังกล่าวต้องถูกลงโทษด้วยการจำคุก ผู้มีอำนาจพยายามใช้กลไกกฎหมาย ตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ รวมถึงใช้วิจารณญาณ ที่แยกไม่ออกระหว่างตามอำเภอใจกับดุลพินิจ เพื่อหวังสืบทอดอำนาจของตนแทนการหาทางออกแก้วิกฤติให้ประเทศและประชาชน ต่อจากนี้พรรคเพื่อไทยจะชี้ให้สังคมได้เห็นว่ามีการใช้กฎหมายเพื่อเข้าสู่อำนาจ และเอาเปรียบเพื่อการกลับมาเป็นรัฐบาลของฝ่ายตนเอง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่เห็นต่าง ถูกกลไกทางกฎหมายบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรม
ยื่นหนังสือ กกต.ขอตัดสิทธิ พปชร.
จากนั้นเวลา 14.45 น. นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางไปที่สำนักงาน กกต. เพื่อยื่นหนังสือขอให้ กกต.พิจารณาระงับสิทธิสมัครของพรรคพลังประชารัฐทุกเขตทั่วประเทศ และขอให้สั่งเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้ง เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ตลอดจนคณะรัฐมนตรี มีมติเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ อสม.กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ปรับเพิ่มค่าตอบแทนจาก 600 บาท เป็น 1,000 บาท โดยนำงบกลางกว่า 4 พันล้านบาทมาจ่าย ซึ่งปกติงบกลางจะนำมาใช้จ่ายได้เฉพาะกรณีเร่งด่วนเท่านั้น และโอนเงินเข้าบัญชี อสม.ทุกรายก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน จึงถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการที่ ครม.อนุมัติเงินเพิ่มแก่ อสม.ดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ กระทำการเพื่อเป็นคุณแก่พรรคพลังประชารัฐ อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 78 และมาตรา 149 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561 จึงขอให้ กกต.รับกรณีดังกล่าวไว้สอบสวน โดยพรรคเพื่อไทยจะติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ เบื้องต้นวันที่ 7 พ.ค. จะมา ทวงถามความคืบหน้าจาก กกต.อีกครั้ง
มติ กกต.ฟัน 6 ผู้สมัครประชาชาติ
ช่วงเย็นเวลา 17.00 น. ที่สำนักงาน กกต.นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมมีมติสั่งไม่ให้ 6 ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ของพรรคประชาชาติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ประกอบด้วย นางทัศนีย์ ชลายนเดชะ ผู้สมัครเขตเลือกตั้งที่ 15 กทม. นายวิโรจน์ วัฒนากลาง เขตเลือกตั้งที่ 6 จ.นครราชสีมา นายอิทธิศักดิ์ ปาทาน เขตเลือกตั้งที่ 5 จ.บุรีรัมย์ นายเกริกชัย พลชา เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.บึงกาฬ นายประหยัด พิมพา เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.อุดรธานีและนายอฤเดช แพงอะมะ เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.อุดรธานี เนื่องจาก ผอ.การเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งรายงานว่าได้ตรวจสอบพบภายหลังว่าเป็นสมาชิกพรรคมากกว่า 1 พรรค เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามและส่งผลให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้สมัคร อย่างไรก็ตามการตัดสิทธิสมัครดังกล่าวไม่มีผลต่อจำนวน ส.ส.ของพรรคประชาชาติ เพราะทั้ง 6 คน มีคะแนนรวมกัน 3,520 คะแนน และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคประชาชาติจะไม่ได้รับการจัดสรรอยู่แล้ว เนื่องจากได้ ส.ส.เท่ากับจำนวนพึงมีแล้ว
มีหลักฐานมั้ย กกต.ถูกแทรกแซง
นายแสวงกล่าวกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขู่ฟ้อง กกต.เอาผิดมาตรา 157 ว่า เป็นสิทธิของประชาชน ถ้า กกต. ทำไม่ถูกต้องก็ฟ้องได้ ส่วนที่นายธนาธรระบุว่าการดำเนินการของ กกต.มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือมีการแทรกแซงทางการเมืองนั้น คำว่า กกต.ถูกแทรกแซงมีหลักฐานจากอะไร เมื่อถามว่า นายธนาธรระบุว่าการไต่สวนของ กกต.ไม่เหมาะกับยุคสมัย นายแสวงตอบว่า กกต.ต้องทำตามกฎหมายเลือกตั้ง มุ่งคุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐ แต่ยังคงให้สิทธิกับผู้ถูกร้องในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา กฎหมายจึงใช้คำว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า กกต.ก็สามารถพิจารณาได้แล้ว ส่วนที่นายธนาธรระบุว่า คณะกรรมการสืบสวนไม่สามารถบอกได้ว่านายธนาธรผิดในข้อใดนั้น ความผิดอยู่ที่ข้อกล่าวหาซึ่ง กกต.ได้แจ้งไปแล้วว่าอาจจะเข้าข่ายเป็นบุคคล ที่มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
ยังไม่พูดไกลถึงยุบอนาคตใหม่
เมื่อถามว่า กรณีนายธนาธรเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค หากเซ็นรับรองส่งผู้สมัครด้วยจะทำให้เข้าข่ายยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ นายแสวงตอบว่า ยังไม่ได้ดูไปถึงตรงนั้น เป็นเรื่องของข้อกฎหมายที่สามารถมีความเห็นไปได้หลายทาง อยู่ที่ กกต.จะพิจารณา ส่วนกรณีผู้สมัครรู้ตัวอยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครแต่ยังมาสมัคร ก็ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 138 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
สนช. ติดโผอื้อลุ้นแย่งเก้าอี้ ส.ว.
อีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือก ส.ว. ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานกรรมการสรรหา ซึ่งได้คัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจำนวน 400 คน เพื่อส่งให้ หัวหน้า คสช.คัดเลือกในรอบสุดท้ายเหลือ 194 คน รวมกับ ส.ว.โดยตำแหน่งอีก 6 คน ว่า ล่าสุด พล.อ. ประวิตรได้ส่งรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม 400 คน ให้หัวหน้า คสช.พิจารณาครบถ้วนแล้ว โดยในส่วนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีผู้ได้รับการเสนอชื่อ อาทิ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.
“อภิรักษ์” ลั่นชิงหัวหน้ากอบกู้พรรค
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะลงสมัครแน่นอน เพราะผลการเลือกตั้งล่าสุดสถานการณ์ของพรรคจำเป็นต้องรับฟังกระแสสังคมเพื่อใช้เป็นบทเรียนปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและสังคมโลกยุคใหม่ ทุกคนต้องกลับมาร่วมแรงร่วมใจทำงาน ส่วนตัวไม่หนักใจตั้งใจเข้ามากอบกู้พรรคอยู่แล้ว สำหรับการวางตัวทีมงาน คนที่จะมาเป็นเลขาธิการพรรคเบื้องต้นได้คุยหลายคน ทั้งคนที่มีประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ รวมถึงคนนอกที่ยังศรัทธาพรรค ไม่ได้กำหนดว่าควรเป็นคนในหรือคนนอก แต่ต้องดูคุณสมบัติเป็นหลักว่าเลขาธิการพรรคต้องเปลี่ยนบทบาทการทำงานในสภาฯ และเตรียมตัวเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยจะเปิดตัวทีมงานหลังวันที่ 9 พ.ค.
ศาลสั่งจ่ายค่าตึกถูกเผาประท้วงปี 53
ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท ศูนย์รับฝากทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แฟมิลี่ โนฮาว จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในอาคาร กลต. เป็นโจทก์ที่ 1-3 ยื่นฟ้อง บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์อิน-ชัวรันส์ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอลประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทกรุงเทพประกันภัย บริษัท เทเวศน์ประกันภัย และบริษัทเมืองไทยประกันภัย ให้ใช้ค่าสินไหมเกิดจากวินาศภัย กรณีกลุ่มบุคคลบุกเข้าทุบทำลายวางเพลิงเผาอาคารเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ซึ่งจำเลยต่อสู้ว่า ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหม เพราะเกิดจากการก่อความไม่สงบเป็นการก่อการร้ายเข้าข้อยกเว้น โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคพิเคราะห์แล้วพิพากษากลับให้จำเลยร่วมกันชดใช้สินไหมแก่โจทก์ที่ 1 รวม 89 ล้านบาทเศษ โจทก์ที่ 2 รวม 57,500 บาท และโจทก์ที่ 3 รวม 9 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 4 ม.ค.2554