นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน แจง 9 เหตุผล “บิ๊กตู่” ไม่ควรกลับมาเป็นนายกฯอีก ซัด ประเทศไทยจะยิ่งล้าหลัง เศรษฐกิจยิ่งทรุดหนัก การเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาดจะยิ่งเพิ่มขึ้น
วันที่ 23 เม.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคมยังคงติดลบต่อเนื่องโดยติดลบถึง 4.88% ซึ่งเป็นการติดลบเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และการลงทุนยิ่งหดหายตามที่กระทรวงการคลังยอมรับ เศรษฐกิจไทยเริ่มหักหัวลง จนรัฐบาลต้องเร่งอัดเงินกระตุ้นถึงขนาดจะแจกเงินให้เที่ยวกันแล้วแต่ก็คงช่วยไม่ได้มากนัก ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง การส่งออกจะยิ่งทรุด การลงทุนจะยิ่งหดหาย เศรษฐกิจไทยจะยิ่งตกต่ำ ซำ้เติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว
โดยขอให้ 9 เหตุผลดังนี้ 1. การเลือกตั้งที่จัดขึ้น อยู่ในกติการัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ถึงแม้จะอ้างว่าผ่านการประชามติแล้ว แต่ความจริงคือ ระหว่างการทำประชามติ รัฐบาล และคสช. ไม่ได้อนุญาตให้มีการถกเถียงชี้แจงข้อดี ข้อเสีย ของรัฐธรรมนูญให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับทราบ ใครวิพากษ์วิจารณ์ก็ถูกจับและถูกเรียกปรับทัศนคติ นอกจากนี้ รัฐบาลและคสช. ยังส่งทหารเข้าไปให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อชักจูงให้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้ ตัวอย่าง เช่น ประชาชนจำนวนมากเพิ่งจะทราบว่า ส.ว. 250 คน ที่พลเอกประยุทธ์เลือกเอง มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ เท่ากับ ส.ส. 500 คน ที่ประชาชนทั้งประเทศเลือก เป็นต้น
2. นอกจากรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาแล้ว การที่รัฐบาลไม่ได้ทำตัวเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ได้อนุมัติจ่ายเงินจำนวนมากเหมือนเป็นการซื้อเสียงเพื่อให้พรรคที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ได้รับความนิยม ต่างประเทศก็เห็นได้ชัด
...
3. การจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ รัฐบาลและคสช. แต่งตั้งมาเอง สร้างความเคลือบแคลงให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยไม่ได้ชี้แจงข้อสงสัยของประชาชนให้ละเอียด การแถลงของ กกต. มีข้อมูลที่ผิดพลาดและขัดแย้งกันเองมาก และขนาดเลือกตั้งเสร็จแล้วยังไม่สามารถบอกประชาชนได้ว่าจะใช้สูตรไหนคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และเวลาผ่านไปนานแล้วยังไม่สามารถสรุปตัวเลข สส ของแต่ละพรรคการเมืองได้ ซึ่งสร้างความงุนงงสงสัยให้กับนานาชาติ อย่างมาก ขนาดอินเดียมีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนถึง 900 ล้านคน ยังสามารถทราบผลได้ภายในวันเดียว
4. ทั้งๆ ที่มีการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลและคสช. ยังมีการดำเนินคดีกับผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะนักการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลในข้อหาที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ ซึ่งน่าจะหมดไปได้แล้ว แต่รัฐบาลและคสช. ก็ยังไม่เลิกใช้เครื่องมือดังกล่าวกดดันฝั่งตรงข้าม แถมยังอ้างว่าเป็นเรื่องสากล ทั้งๆ ที่ไม่มีความเป็นสากลแต่อย่างไรเพราะเป็นอำนาจจากช่วงการปฏิวัติ
5. การที่รัฐบาลไปตำหนินักการทูตนานาชาติที่เข้าไปสังเกตการณ์การดำเนินคดีของนักการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล แสดงถึงรัฐบาลยังคงยึดติดอำนาจเผด็จการอยู่ใช่หรือไม่ ซึ่งนานาชาติจะให้ความสำคัญกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้อย่างมาก ขนาดสหรัฐฯและอียูยังออกแถลงการณ์โต้แย้งข้อตำหนิของรัฐบาลไทยโดยยืนยันความสากลในการเข้าสังเกตการณ์
6. การที่พลเอกประยุทธ์ ทำการปฏิวัติรัฐประหารและอยู่มากว่า 5 ปี ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับต่างประเทศเลย การลงทุนจากต่างประเทศแต่ละปีเหลือน้อยมาก รัฐบาลยังยอมรับจุดอ่อนนี้เอง และเมื่อมีการเลือกตั้ง ได้มีการจัดการโดยวิธีการและกติกาแปลกประหลาดเพื่อให้ตัวเองได้กลับมา แล้วหากพลเอกประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกจริง นักลงทุนจากต่างประเทศจะมีความมั่นใจในการลงทุนได้อย่างไร
7. ตลอด 5 ปีที่รัฐบาลและ คสช. บริหารประเทศ ได้เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาดที่สนับสนุนการปฏิวัติมาโดยตลอด แม้กระทั่งล่าสุด การขยายระยะเวลาการชำระเงินการประมูลของคลื่นโทรศัพท์มือถือก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่มีการเอื้อประโยชน์อย่างมาก นอกจากนี้ การประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยแถมการเช่าระยะยาวที่ดินมักกะสัน มูลค่ามหาศาลก็เป็นการเอื้อประโยชน์อย่างชัดเจน โดยทั้งสองเรื่องนี้ ตั้งใจเร่งให้ทันก่อนการตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะไม่สามารถเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาดในลักษณะนี้ได้ โดยไม่โดนการคัดค้านและต้องถูกตรวจสอบอย่างหนัก
8. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ชัดเจนในสถานภาพของตัวเองว่า เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็จะขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นนายกฯ ไม่ได้ แต่ถ้าหากบอกว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พลเอกประยุทธ์ อาจจะต้องรับผิดชอบจ่ายเงินที่ถูกบริษัทเหมืองทองคำของออสเตรเลีย ฟ้องร้องกว่า 30,000 ล้านบาทเอง เพราะรัฐจะไปจ่ายเงินให้กับการกระทำของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้
9. ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันจำนวนมากมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะไม่มีฝ่ายค้านในสภา ถึงขนาดที่สื่อต่างประเทศได้ลงข่าวว่ารัฐมนตรีของไทยที่เคยเป็นทหาร มีทรัพย์สินติดอันดับโลกทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏว่าเคยทำธุรกิจด้านไหนมาก่อน อีกทั้งกรณีโยกย้าย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่อาจสร้างความคลุมเครือและมัวหมองเพิ่มขึ้น แล้วจะบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ทุจริตคงจะไม่ได้
นี่เป็นเหตุผลหลักๆ และยังไม่รวมถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนจำนวนมากที่มีต่อพลเอกประยุทธ์และการบริหารงานของ คสช. โดยหากรวม ส.ส. จากพรรคต่างๆ ที่ประกาศก่อนหน้าการเลือกตั้งว่าไม่เอาพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อหลังการเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึง พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยด้วย จะพบว่าจะมีจำนวน ส.ส. มากกว่า 300 กว่าเสียง ดังนั้น พลเอกประยุทธ์จึงไม่ควรจะสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯอีกต่อไป