ไม่ใช่ “fake news” ตีปี๊บแห่กระแสของโคตรเซียนการตลาด
แต่มันคือข้อมูลจริงแท้แน่นอนที่นำเสนอผ่านสำนักข่าว “บลูมเบิร์ก” สื่อระดับโลก มาตรฐานอเมริกัน นำเสนอผลการจัดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยสุด เทียบจาก 62 ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2562
ปรากฏว่าประเทศไทยติดอันดับ 1 ต่อเนื่องอีกปี
ตามมาตรฐานที่วัดจากความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ นำอัตราตัวเลขการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศมาประมวลผลเปรียบเทียบกัน
ไม่ใช่ “ยกเมฆ” ลอยๆ อ้างอิงจาก “น้ำลายบูดๆ” ของนักการเมืองไทย
มันจึงเป็นอะไรที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. สามารถยืดอกโชว์ความภาคภูมิใจได้อย่างไม่เคอะเขิน
เพราะมันคือตัวชี้วัดจากการคุมการบริหารราชการแผ่นดินมา 4-5 ปี
และการที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กจัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับหนึ่ง “ประเทศที่เศรษฐกิจน่าเป็นห่วงน้อยสุด” มันก็สอดรับกันพอดีกับจุดที่พิสูจน์กันด้วยสถิติตัวเลขชัดๆ
กับสถานการณ์ล่าสุดที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เปิดเผยในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลัง มีการไล่เช็กข้อมูลทางเศรษฐกิจตลอด 4–5 ปีที่ผ่านมา ที่กระทรวงการคลังได้ดูแลเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นฐานประเทศไทยแข็งแกร่ง
โดยวัดได้จากปี 2561 ถึงช่วงต้นปี 2562 แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีสัญญาณ
ไม่สู้ดีจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน ปัญหาเศรษฐกิจยุโรป แต่ตัวเลขรายได้ทั้งจากการท่องเที่ยว การบริโภคภายใน การลงทุน รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐช่วง 2 เดือนแรกจากการจัดเก็บภาษี เติบโตดีมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเมื่อเข้าโซนเลือกตั้งเดือนมีนาคมต่อเนื่องเดือนเมษายน ข่าวความวุ่นวาย สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง หัวเชื้อไฟความขัดแย้งเก่าๆโชยกรุ่นกลับมาสั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน
ส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคลดลง การลงทุนชะงัก นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่มั่นใจ
...
และตามฟอร์มข้าราชการใส่เกียร์ว่าง ถ่างขาแทงหวยลุ้นรัฐบาลใหม่
กลายเป็นประเทศชะงักงันไร้ความแน่นอน สถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนที่นายสมคิด
ต้องไล่จี้ให้กระทรวงการคลังเร่งออกมาตรการอัดฉีดฉุกเฉิน เพื่อรักษาโมเมนตัม พยุงเศรษฐกิจไว้ก่อน
ไม่ให้การลงทุนสะดุด เสียโอกาสในห้วงรอรัฐบาลใหม่
แม้ในกระบวนการประคองเกมบริหาร โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มันก็แฝงความชัวร์ แบบที่นายสมคิดได้ประกาศตอกย้ำความมั่นอกมั่นใจในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ยังไง “นายกฯลุงตู่” ก็ตีตั๋วต่อแน่นอน
แต่มันเป็นอะไรที่กุมสภาพลำบาก ตอนนี้ไม่มีใครยอมใคร ตามพฤติการณ์ของนักเลือกตั้งอาชีพที่จุดไฟกระพือควัน โหมบรรยากาศเร้ากองเชียร์ผู้สนับสนุน ชิงดุลอำนาจของฝั่งตัวเอง
สั่นประสาทประชาชน เขย่าขวัญนักลงทุนกระเจิดกระเจิง
โดยไม่สนภาพรวมบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ประเทศกำลังอยู่ในห้วงเวลาพิเศษ โหมดของความสงบ
ขอแค่โหนอำนาจ ช่วงชิงผลประโยชน์ให้ได้มากสุด
ในอารมณ์แบบที่ “ตัวแปร” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ สายปรมาจารย์ “ชวน หลีกภัย” ปล่อยมวยเบอร์รองอย่างนายเทพไท เสนพงศ์ ออกมาตีปี๊บรัฐบาลแห่งชาติ ก่อนปรับเป็นรัฐบาลปรองดอง
จ้องเป็น “ตาอยู่” แอบลุ้นหยิบชิ้นปลามันในจังหวะ “ขึงพืด”
หรืออารมณ์ของพรรคภูมิใจไทยที่มีข่าวต่อรองจองกระทรวงคมนาคม ล็อกเป้าใหญ่เก้าอี้เกรดเอ แถมล่าสุดเดินเกมแห่ “สายเขียว” บีบ “นายกฯลุงตู่” ใช้ดาบมาตรา 44 เปิดทาง “กัญชาเสรี”
ขู่กันเป็นเชิง ถ้าไม่ได้ตามนี้ ก็ไม่เทเสียงร่วมรัฐบาล
“ตัวแปร” เฮี้ยวเต็มที่ ก็ไม่ต้องพูดถึงอาการของขั้วตรงข้าม
ฝ่ายจ้องโค่น คสช.ชิงอำนาจกลับไปอยู่ในมือ “นายใหญ่” ที่แสดงให้เห็นหนังม้วนเก่า แต่ตัวละครใหม่ กับฉาก “โลกล้อมประเทศไทย” ที่เปลี่ยนตัวเอกจาก “นายใหญ่” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร มาเป็น “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
จับไต๋ได้จากการต่อสายเชิญทูตมะกันและชาติตะวันตกมาร่วมกดดันวันมอบตัวคดีความมั่นคงที่ สน.ปทุมวัน ต่อเนื่องกับการบินทัวร์ยุโรป โชว์อินเตอร์ไปโฉบอยู่ใกล้ๆยูเอ็น แวะคุยองค์กรสิทธิ-มนุษยชนฯ
“ไพร่หมื่นล้าน” เดินย่ำรอย “นายใหญ่ดูไบ” สคริปต์เดียวกันเป๊ะ
และแกะรอยสัญญาณล่าสุดที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย ส่งซิกถึงกองเชียร์เป็นนัย ถ้าไม่ได้ตั้งรัฐบาลก็พร้อมปลุกประชาชน เปิดเกมมวลชน กระตุกม็อบ “รื้อรัฐธรรมนูญ” ฉบับมีชัย
จากประเทศทุกข์น้อย จะกลายเป็นทุกข์หนักหลังเลือกตั้ง.
ทีมข่าวการเมือง