"สมชัย" แปลความหมายสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ มี 2 แบบ เตือนเป็นจุดตายกกต. ย้ำต้องรอบคอบ หากพิสูจน์ได้ เอื้อบางพรรคให้ได้เปรียบตั้งรัฐบาล ระวังติดคุก...

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการบริหารจัดการเลือกตั้ง ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุหัวข้อ “จุดตายของ กกต.ชุดปัจจุบัน” ว่า ความวุ่นวายไม่เรียบร้อยในการจัดการเลือกตั้งในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร นอกเขต การนับคะแนน การรายงานผล บัตรเขย่ง การให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่อาจเป็นสาเหตุเพียงพอ หรือมีนัยสำคัญที่นำไปสู่การถอดถอนหรือลงโทษใดๆ ต่อ กกต.ได้ชัดเจนนัก เพราะหากกล่าวให้เกิดความเป็นธรรม การที่ กกต.เพิ่งเข้ามาใหม่ ความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ กับการเลือกตั้งที่ต้องอาศัยบุคลากรร่วมล้านคนมาช่วยกันทำงานนั้นยากที่ กกต.จะเข้าไปกำกับดูแลให้เกิดความเรียบร้อย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องรับผิดชอบมากกว่า แต่กระแสสังคมกลับมาลงที่ 7 กกต.

ทั้งนี้มีเรื่องหนึ่งที่ต้องเตือนและเป็นจุดตายแน่นอน อาจนำไปสู่การถอดถอนอย่างมีเหตุผลและอาจนำไปสู่ความผิดทางอาญาได้โดยง่าย หากยังไม่ใส่ใจโดยยังให้สำนักงานเป็นผู้กระทำโดยปราศจากการกำกับอย่างจริงจัง คือเรื่องสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งมีขั้นตอนของการคำนวณ เขียนไว้ในมาตรา 128 ของ พรป.ส.ส. ซึ่งอ่านแล้วไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย และสามารถอ่านแปลความหมายนำไปสู่การคำนวณที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดผลแตกต่างกันอย่างน้อย 2 แบบ

สำหรับแบบแรก ที่เห็นเผยแพร่ในสื่อทั่วไป ทำให้มีพรรคเล็กได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นมาจำนวน 11 พรรค โดยเป็นพรรคที่ได้คะแนนระหว่าง 33,748-69,417 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่ต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยของ ส.ส.1 ที่นั่ง ที่คำนวณไว้ว่า เท่ากับ 71,065 คน เป็นการขัดกับเหตุผลว่า คะแนนแค่ 3 หมื่นเศษ ทำไมถึงได้ ส.ส. ในขณะที่พรรคใหญ่และพรรคกลาง ต้องใช้คะแนนถึง 7 หมื่นเศษจึงได้ ส.ส.หนึ่งคน

...

ส่วนแบบที่สอง เป็นการคำนวณโดยนักวิชาการ ที่นำแต่ละบรรทัดของกฎหมายมาแปลความและทดลองคำนวณ ซึ่งมีผลทำให้ 11 พรรคเล็กที่มีคะแนน ส.ส.เขต ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 71,065 คน ไม่ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทำให้พรรคกลางและพรรคใหญ่ มีจำนวน ส.ส.มากขึ้น

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจแบบใดแบบหนึ่ง หากมีการพิสูจน์ได้ว่า เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของ กกต.เพื่อไปสนับสนุนให้พรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งและสามารถตั้งรัฐบาลได้ จะตรงกับข้อหาที่ กกต.ชุดที่สองเคยโดนมาก่อน คือ “กระทำการเพื่อให้เกิดความได้เปรียบของพรรคการเมืองหนึ่งทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้” ซึ่งผลคือ กกต.ถูกศาลตัดสินจำคุก โดยเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ 7 กกต. ต้องคิดและรับฟังจากทุกฝ่ายให้รอบคอบ เพราะแปลความผิดอักษรเดียว มีพรรคที่ได้ มีพรรคที่เสีย ฟ้องแน่นอน.