นายกฯ ลาจอ “คืนวันศุกร์” ขอบคุณคนไทยติดตามตลอด 5 ปี พาประเทศฝ่าทางตันการเมือง ก้าวข้ามความขัดแย้ง คืนความสุขประชาชน ย้ำวิถีประชาธิปไตย ทุกคนต้องเคารพเสียงเลือกตั้ง และมีสติ... 

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 29 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า ขอขอบคุณประชาชนคนไทยทุกคน ที่ได้สนใจติดตามรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” และรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” มาตลอดเวลา 5 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ ส่งเสริมความเข้าใจ และขอความร่วมมือด้วยไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งถ่ายทอดไปยังข้าราชการทุกระดับ เป็นกลไกสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ถือว่าเป็น “ช่องทางสื่อสาร” ที่สำคัญของนายกฯ กับพลเมืองไทยทุกคน 

ย้ำ กระตุ้น "จริยธรรม" ที่เหือดแห้งจากสังคม

อีกทั้ง เพื่อเป็นการปลูกต้นไม้ในใจคนไทย กระตุ้นเตือนด้านคุณธรรม จริยธรรม ที่เริ่มแห้งเหือดไปจากสังคมไทยมาพอสมควร และการปลูกจิตสำนึกความรักบ้านเมืองแผ่นดินเกิด ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ และอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นไทยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ด้วยการช่วยกัน "สืบสาน รักษา ต่อยอด" ตามพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย 

คือการ "ฝ่าทางตัน ก้าวข้ามขัดแย้ง คืนความสุขให้คนไทย"  

การเดินหน้าประเทศของเราตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ตามโรดแม็ป คสช. นั้น ตั้งแต่การฝ่าทางตันทางการเมือง การก้าวข้ามความขัดแย้ง การปลดล็อกด้านงบประมาณ เพื่อจะคืนความสุขให้กับคนไทย คืนรอยยิ้มให้แผ่นดินเรา การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการผ่านประชามมติ ตามหลักการประชาธิปไตย เพื่อแก้ปัญหาในอดีต การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต ไปสู่ยุคดิจิทัล ไปจนถึงการกอบกู้ภาพลักษณ์ของประเทศ และยกระดับความมั่นใจในเสถียรภาพของประเทศในสายตาชาวโลก

...

ชี้ "อันดับไทย" ในเวทีโลกดีขึ้น 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้รับเชิญให้ไปเยือนประเทศชั้นนำของโลกอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมประชุมเวทีนานาชาติครั้งสำคัญหลายครั้ง รวมทั้งผลการจัดอันดับด้านต่างๆ ก็ “ดีขึ้น” ตามลำดับ แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศกลับมาเยือนไทยเป็นจำนวนมากกว่าที่เคยมีมา

"สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ทุกคนคงทราบและจำได้ดีว่าเราทุกคนได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค และสิ่งที่ส่งผลร้ายแรงต่อชาติบ้านเมืองอะไรกันมาบ้าง ท่ามกลางความขัดแย้งในแทบทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง กระบวนการยุติธรรม ท่ามกลางการสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน หาประโยชน์จากประชาชนบ้าง ให้มีความหวังโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ข้อเท็จจริง ปัญหาทับซ้อน รวมทั้งบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสีย หรือละทิ้ง “โอกาส” ที่รัฐบาลนี้ได้สร้างไว้ด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม"

"คือ สะพานก้าวข้ามอุปสรรคไปสู่อนาคต" 

อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณพี่น้องข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ทุกคน ที่ได้ร่วมกันเป็นสะพานให้พี่น้องประชาชนได้ก้าวข้ามกับดักต่างๆ ในอดีต ก้าวหน้าไปสู่อนาคตที่ดีกว่า และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกัน จับมือจูงมือกัน นำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป  

พี่น้องประชาชน ชีวิตนั้นไม่อาจหยุดนิ่ง ประเทศชาติก็ไม่อาจหยุดเดิน ประชาชนยังคงต้องทำมาหากิน โรงงานยังคงผลิตสินค้าเพื่อส่งขายตลาด โครงสร้างพื้นฐานยังต้องดำเนินไปตามแผน การลงทุนยังต้องการความต่อเนื่องทุกอาชีพ ทุกกิจกรรม ซี่งยังคงมีความยากลำบาก ปัญหาน้อยใหญ่ยังรอการแก้อย่างยั่งยืน

ขอทำหน้าที่ "ผู้นำ" ต่อไป จนกว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่ 

ทั้งนี้ ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดตั้ง “รัฐบาลใหม่” เข้ามาบริหารประเทศ ขอประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากทุกช่องทางที่เป็นประโยชน์ และเชื่อถือได้ ทั้งช่องทางของรัฐบาล - กระทรวง - กรม - หน่วยงานต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมในการเดินหน้าประเทศของเรา

ตนจะยังปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ให้บ้านเมืองของเราสามารถเปลี่ยนผ่านไปได้ด้วยความสงบสุข ได้ดำเนินการตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูป 11 ด้าน และแผนแม่บทต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด ไม่หยุดชะงักภายใต้บริบทของโลกที่ยังคงผันผวนและอยู่เหนือการควบคุม ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาเสถียรภาพ ความมั่นคง ของประเทศไว้ให้ดีที่สุด เรายังมีทั้งวิกฤติและโอกาสอยู่ใกล้ตัวพวกเราทุกคนอยู่

เตือน อย่าสร้างเงื่อนไข นำไปสู่ขัดแย้งครั้งใหม่ 

สิ่งเป็นห่วงในปัจจุบันคือ ความพยายามจะสร้างเงื่อนไขในสังคม เพื่อประโยชน์ในการทางการเมือง ซึ่งอาจนำมาสู่ความขัดแย้ง "ครั้งใหม่" ในอนาคต ได้แก่ 1.ความเป็นประชาธิปไตย และไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งควรยุติได้แล้ว เพราะเราผ่านการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.มาแล้ว และทุกพรรคการเมืองได้รับเสียง ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ตามครรลองประชาธิปไตยที่เรารอคอย แล้วก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเรานะครับ ที่ผ่านการลงประชามติมาแล้ว

2.คนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ ก็เป็นอีกวาทกรรมสร้างความแตกแยก แบ่งคนในสังคม รวมทั้งในครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันพื้นฐาน ขอให้ลองทบทวนดู แม้เราอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน เรียนตำราเล่มเดียวกัน แต่อาจมีความเห็นที่แตกต่างได้ เนื่องจากผ่านประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาต่างกัน คนอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากจะมีภาพจำดีๆ “ยุคโชติช่วงชัชวาล” และ “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ที่ไทยเกือบจะก้าวไปเป็น “เสือตัวที่ 5” ของเอเชียมาแล้ว แต่ก็มีภาพจำที่ไม่ดี เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 - เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 - แล้วก็พฤษภาทมิฬ ปี 35 - วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง - การลอยตัวค่าเงินบาท - การเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟ การชุมนุมและการสลายการชุมชนทางการเมือง ห้วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นต้น

ในขณะที่ ต่างคน ต่างช่วงวัย ก็ย่อมจะผ่านชีวิต มีภาพจำทั้งที่ดี - ไม่ดี มากน้อย แตกต่างกันไป เช่น เด็กอายุ 18 ปี ที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้ง ครั้งนี้อาจไม่เคยสนใจการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลและ คสช. ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เพราะมุ่งศึกษาเล่าเรียน ตามหน้าที่ของตน

ขอให้ทำเพื่อส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน 

"ขอขอบคุณทุกๆ คน เคารพทุกคนที่ออกมาใช้เสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ ขอให้ทุกคนเคารพเสียงของประชาชน" และมีสติในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ทั้งนี้ตนเคารพในความตัดสินใจของประชาชนเสมอ ถือว่าเป็น “วิถีของประชาธิปไตย” ผมขอให้เราทุกคน “รักบ้านเกิดเมืองนอน” ของเราให้มาก

ทั้งนี้ การจะร่วมกันนำพาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้นั้น จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ ต้องคำนึงถึงอัตลักษณ์ ความเป็นไทยของเรา และต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของบ้านเมือง ได้แก่ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ของเรา ซึ่งมีมาอย่างยาวนานกว่า 1,400 ปี จวบจนปัจจุบันนะครับ อย่าลืมว่าเราทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น เป็นผลตอบแทนมาเสมอ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เราจะทำเพื่อส่วนรวม ไปด้วยได้ไหม มากกว่าจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว

ฝากรัฐบาลใหม่ จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้สมพระเกียรติ

อนึ่ง สิ่งที่ต้องการจะฝากรัฐบาลใหม่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จากที่รัฐบาลนี้ได้เริ่มไว้แล้ว เพื่อประโยชน์ของคนในชาติ อาทิ การจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้สมพระเกียรติ การทำหน้าที่ประธานอาเซียนให้สมบูรณ์ การดูแลพี่น้องประชาชน กลุ่มฐานราก - ค้าปลีก ค้าออนไลน์ และอาชีพอิสระ การดูแลคนทุกช่วงวัย ตามขีดความสามารถของแต่ละบุคคล หรือศักยภาพครอบครัว หรือพื้นฐานรายได้ การพัฒนาเด็กแรกเกิด โดยดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ให้มีพัฒนาการที่ดี สมวัย การพัฒนาคุณภาพชีวิต จัดหาที่อยู่อาศัย

ยกระดับมาตรฐานการศึกษาในทุกระดับ ทุกประเภทเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสร้างแรงงานทักษะสูงในอนาคต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ลดการพึ่งพารัฐ เข้มแข็งด้วยตนเองก่อน จัดการศึกษา ให้หลักคิด ที่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน - โลกาภิวัฒน์ - โลกดิจิทัล

เพิ่มการเรียนรู้ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เกิดประโยชน์ พัฒนาครู ยกระดับฝีมือแรงงาน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นของเราเอง การพัฒนาประเทศ โดยใช้บุคลากรจากภายนอกในช่วงเริ่มต้น การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ อัยการ และศาลแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ผลักดันกฎหมายขายฝากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตั้งอีอีซี และ SEZ 10 การมีส่วนร่วม PDP (แผนพัฒนาการผลิตพลังงานของประเทศ) ภัยคุกคามทางไซเบอร์ เป็นต้น 

สรุปส่งท้าย ยิ่งขัดแย้งนาน ประเทศชาติยิ่งเสียหาย 

ทั้งนี้ 5 ปีที่ผ่านมา นโยบายเดิมของรัฐบาลก่อนหน้า อะไรที่ดี ที่ประชาชนได้รับประโยชน์ ตนได้ต่อยอด พัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพ ให้สูง ให้ดีขึ้น โดยยึดความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง เป็น "หลักชัย" สำคัญ

สุดท้ายนี้ขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน นักการเมือง พรรคการเมือง ช่วยกันทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ ขอให้ปวงชนชาวไทย ยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอยุติความขัดแย้ง ขจัดเงื่อนไขความแตกแยกในสังคม เพราะเรายิ่งขัดแย้งกันนานเท่าไหร่ ประเทศชาติและประชาชนก็จะยิ่งเสียหายและเสียโอกาสมากขึ้นเท่านั้น จนอาจทำให้ศักยภาพของเราถดถอย เป็นวิกฤติในทุกมิติ เราต้องร่วมมือกัน “สร้างภูมิคุ้มกัน” ให้กับสังคมและประชาชน ด้วย “ความรู้คู่คุณธรรม” ให้มากที่สุดนะครับ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง.