อภิสิทธิ์ VS สุเทพ จากคนเคยรัก เคยชิดใกล้ แต่มาวันนี้ความรู้สึกของทั้งคู่กลับกลายเป็นความขมขื่นเกินใจจะทนไหว ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ย้อนคืนวันอันสดใส ไล่เรียงถึงวันแยกทาง อะไรเป็นจุดแตกหักของเขาทั้งคู่...

เมื่อย้อนดูเส้นทางชีวิตของ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั้น เขามาจากการเป็นกำนันตำบลเล็กๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ได้รับไม้ต่อจากผู้เป็นพ่อที่เป็นกำนันมาก่อน ไต่เต้าสู่ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และสามารถครองใจชาวบ้านมาอย่างยาวนานนับ 10 สมัย

ขณะที่ เส้นทางของหนุ่มนักเรียนนอกสุดยอดโปรไฟล์ บินตรงจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พร้อมการันตีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 นามว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

หนุ่มหน้าตาดีความรู้เต็มสมองได้มีโอกาสเข้ามาช่วยงานด้านเศรษฐกิจให้กับชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ก่อนที่ อภิสิทธิ์ จะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส. กรุงเทพมหานคร ปี 2535 ด้วยอายุเพียง 27 ปี ซึ่งนับว่าเป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น กระทั่ง ชั่วโมงบินสูง จึงไต่เต้าขึ้นมาเป็นแกนนำพรรคคนสำคัญ

...

หลายปีต่อมา สุเทพเริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็นเลขาธิการพรรค ในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ มีการปรับโครงสร้างพรรคใหม่ โดยใช้บุคคลรุ่นใหม่ เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, กรณ์ จาติกวณิช ต่อสู้กับพรรคคู่แข่งตัวสำคัญอย่างพรรคไทยรักไทย

โดยผลงานสำคัญของนายสุเทพในช่วงนั้น ก็คือ ผู้รวบรวมข้อมูลยื่นฟ้องพรรคไทยรักไทย และทำให้พรรคไทยรักไทย ถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรค พร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคนับร้อยคน เป็นระยะเวลานาน 5 ปี

ต่อมาในปี 2551 เมื่อรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อ่อนแรงด้วยม็อบมีสี ชื่อของสุเทพก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง ในฐานะผู้ปั้นแต่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยโมเดล “คุยทีละคน ต่อรองจนทุกฝ่ายพอใจ” โดยยึดหลัก “ศึกษานิสัยใจคอนักการเมืองทุกกลุ่มให้ลึกซึ้ง”

ในหนังสือชีวประวัติ “กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่จัดทำขึ้นระหว่างการชุมนุม กปปส. นั้น ได้บอกเล่าถึงปฏิบัติการปั้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยระบุไว้บางช่วงบางตอนว่า “วิธีต่อรองเจรจาของผมก็คือผมไปยื่นข้อเสนอให้ชนิดที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ข้อเสนอผมก็คือว่า พวกคุณที่เคยอยู่กับทักษิณนี่เคยบริหารงานกระทรวงไหนบ้าง ผมให้กระทรวงนั้นคุณเลย คุณพอใจไหมละ ถ้าไม่พอใจตรงไหนมาเจรจาได้”

เมื่อบทอวสานของพรรคพลังประชาชน(ด้วยคำสั่งยุบพรรค) มาถึงอย่างที่สุเทพมั่นหมาย ถึงที่สุด คะแนนเสียงทางการเมืองในสภาถูกนับได้ 235 เสียง ส่งให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 27” สมการรอคอยของผู้ชายชื่อมาร์ค

ส่วน สุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง ด้วยการนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุมกำลังทหาร ตำรวจ แต่ไม่นาน ก็กลับมาสู่เวทีการเมืองในสถานะฝ่ายค้าน ก่อนจะกลับมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอีกครั้ง เมื่อคราวที่ออกจากการเมืองเพื่อมาเคลื่อนไหวมวลชนในนาม "ลุงกำนัน" แห่งแกนนำ กปปส.

หลังรัฐประหาร สุเทพ ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อยู่ร่วมปี  พร้อมยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่กลับคืนสู่การเมืองอีกแล้ว แม้แต่หลังจากลาสิกขา เขาก็ยังยืนยันคำเดิมครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "เลิกแล้วซึ่งการเมือง" แต่มาวันนี้ สุเทพ เลือกที่จะกลืนน้ำลายตัวเอง หรือ "เสียสัตย์เพื่อชาติ" ท่ามกลางเสียงก่นด่าและเหยียดหยามต่างๆ นานาของทั้ง(อดีต)กองเชียร์ และโจทก์เก่า

จากนั้น ชีวิตของเขาดูเหมือนจะถอยห่างจากจุดรุ่งเรืองออกมาเรื่อยๆ “ลุงกำนัน” อันเป็นที่รักของผู้คนมากมายกลายเป็นคนแปลกหน้า และ “เทพเทือก” มากบารมีของคนการเมืองในยุคก่อน กลายเป็นคนอื่นไกล

กระทั่งมาวันนี้ สุเทพ ได้นำบุญคุณหนเก่าที่มีต่อคนเคยรัก มาใช้บนเวทีปราศรัย ด้วยคำกล่าวที่ว่า “ผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ 37 ปี ผมเป็นเลขาธิการพรรค เป็นผู้บริหารพรรคคนสำคัญคนหนึ่ง และผมบอกกับพี่น้องตรงๆ ผมนี่เป็นคนทำให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ใช่เพราะผม ผมไม่รู้ว่าชาติหน้ามันจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นี่แหลงกันตรงๆ”

หากจะย้อนกลับไปดูจุดหักเหของคนเคยรักอย่าง อภิสิทธิ์ และ สุเทพ คงต้องย้อนไปเมื่อเมษายน 2561 ที่ อภิสิทธิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สมาชิกที่เป็น กปปส. นอกจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ลาออกไป และนายธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ฯ ที่แสดงเจตนาว่า จะเป็นผู้ไปจดแจ้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ยังไม่มีอดีต ส.ส.ท่านอื่นมาบอกว่า จะไม่มาร่วมงานกับเรา วันนี้หลายท่านก็มายืนยันแล้ว

“ยืนยันว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังสนับสนุนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ส่วนใครที่จะออกนอกแถวไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ให้ไปทางเลือกอื่น ไม่ต้องมาที่นี่ เพราะมีพรรคอื่นรองรับเยอะแยะ ถ้าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องสนับสนุนหัวหน้าพรรค ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเป็นใครก็ตาม” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

จากนั้นไม่นาน ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ใกล้วาระเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ (กลางปี 2561) โดยรายชื่อผู้ท้าชิงที่แน่ๆ คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นั่งตำแหน่งนี้มานานถึง 13 ปี และได้รับการสนับสนุนจาก “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในพรรคให้ความนับถือเป็นอย่างมาก

คนต่อมาคือ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่มีผลงานโดดเด่นคือ “มือปราบจำนำข้าว” แต่ก็สงวนท่าทีอยู่เสมอมา อีกคนคือ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ที่มีชื่อเข้าชิง แต่ก็เป็นอีกคนที่สงวนท่าทีเช่นเดียวกัน แต่มีการวิจารณ์กันว่า ได้รับการหนุนอย่างไม่เป็นทางการจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส.

ขณะที่ สุเทพ ก็มีแนวทางชัดเจนว่า “สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” เต็มที่และออกตัวแรงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสวนทางกับแนวทางของ “อภิสิทธิ์” ที่พูดอยู่เสมอว่า ใครสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ ให้อยู่พรรคอื่นได้เลย แต่กระนั้น อภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้ปิดช่องทางเสียทีเดียว.