มติศาล รธน.เอกฉันท์ 9-0 ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ชี้ สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง ขณะมีมติ 6-3 ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค สมัคร ส.ส. เป็นเวลา 10 ปี
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 7 มี.ค.62 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ 9 องค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายชัช ชลวร นายปัญญา อุดชาชน นายวรวิทย์ กังศศิเทียม นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ นายนครินทร์ เมฆไตรัตน์ และนายบุญส่ง กุลบุปผา ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย คดีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ฐานกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จากกรณีเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
โดยศาล รธน.ได้กำหนดประเด็นแห่งคดีไว้ 3 ประเด็น โดยประเด็นแรกคดี มีเหตุให้ยุบพรรคตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 หรือไม่ 2 กรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่ และ 3 ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ จะสามารถจดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี ได้หรือไม่
...
ประเด็นที่1 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญได้บัญญัติว่า พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าโดยกำเนิดทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง ตามพระประสงค์ของรัชกาลที่ 7 พระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 7 ที่ระบุว่า พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เป็นที่เคารพ ไม่ควรแก่ตำแหน่งทางการเมือง และควรอยู่เหนือการถูกติเตียน และไม่ควรแก่ตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นการงานที่จะนำมาซึ่งพระเดชและพระคุณ ย่อมอยู่ในวงที่จะถูกติเตียน อีกเหตุหนึ่งจะนำมาซึ่งความขมขื่นโดยในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอันเป็นเวลาที่ต่างฝ่ายต่างโจมตีให้ร้ายซึ่งกันและกัน เพื่อความสงบเรียบร้อยสมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้านายกับราษฎร ควรถือเสียว่าพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปย่อมดำรงอยู่เหนือการเมืองทั้งหลาย ส่วนเจ้านายจะทะนุบำรุงประเทศ ก็ย่อมมีโอกาสบริบูรณ์ในทางตำแหน่งประจำและตำแหน่งในวิชาชีพ
หลักการพื้นฐานดังกล่าว เป็นเจตนารมณ์ร่วมของการสถาปนาระบอบการปกครองของไทย ไว้ในรัฐธรรมนูญแต่เริ่มแรก และเป็นฉันทานุมติที่ฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรให้การยอมรับปฏิบัติสืบต่อมาว่าพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ควรอยู่เหนือการเมือง โดยเฉพาะการไม่เข้าไปมีบทบาทเป็นฝักเป็นฝ่ายต่อสู้ แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจจะนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน และจะกระทบต่อความสมัครสมานระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับราษฎร ที่เป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 8 สภาผู้แทนราษฎร จะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ทั้งฉบับ แต่ก็ไม่ทำให้หลักการของรัฐธรรมนูญว่าด้วยสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์อันเป็นที่เคารพเหนือการติเตียน และไม่ควรแก่ตำแหน่งทางการเมืองอันอาจกระทบต่อความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องถูกลบล้างไป
ดังปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 6/2543 กรณี กกต.ออกระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาว่า พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งให้สำนักพระราชวังมีหน้าที่แจงเหตุ ที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิของพระบรมวงศานุวงศ์ ต่อมา กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติจึงยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บุคคลใดอยู่ในข่ายหรือได้รับการยกเว้นไม่ต้องแจ้งเหตุขัดข้องในการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับมีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองสถานะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เหนือการเมือง ผู้ใดจะละเมิดฟ้องร้องในทางใดๆ ไม่ได้ ทรงอยู่เหนือการเมือง และดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง ประกอบกับ พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา ไม่เคยไปใช้สิทธิการเมือง หากกำหนดให้พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา ซึ่งมีความใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชกรณียกิจแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ย่อมก่อให้เกิดความขัดแย้งและขัดต่อหลักความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงวินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไม่ใช้กับ พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา ตามพื้นฐานว่าด้วยการดำรงความเป็นกลางทางการเมือง สอดคล้องกับหลักการที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงราชย์แต่ไม่ได้ทรงปกครอง อันเป็นหลักการตามรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่นานาอารยประเทศ ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของรัฐ กล่าวคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นบ่อเกิดแห่งความชอบธรรม เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ และธำรงความเป็นปึกแผ่นของชาติ พระมหากษัตริย์ในฐานะพระประมุขของรัฐทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านสถาบันการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนการปกครองของไทยมีความแตกต่างจากการปกครองของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของรัฐอื่น ที่กษัตริย์ใช้อำนาจราชาธิปไตยสมบูรณ์ ควบคุมการใช้อำนาจการเมืองผ่านการแต่งตั้งบรมวงศานุวงศ์ให้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหาร
ดังนั้น การกระทำของพรรคไทยรักษาชาติ ในการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เพื่อแข่งขันกับพรรคการเมืองอื่น ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและในกระบวนการให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นในนามพรรคการเมืองเพื่อนายกรัฐมนตรี ตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการกระทำย่อมเล็งเห็นผลว่าจะทำให้ว่าการปกครองของไทยจะแปรเปลี่ยนไปสู่สภาพที่สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาใช้อำนาจทางการเมืองปกครองประเทศ สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมมีผลให้หลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลายให้เสื่อมทรามไปโดยปริยาย
อนึ่ง รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มุ่งลดเงื่อนไขความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศมีความสงบสุขอีกทั้งรัฐธรรมนูญได้ปกป้องและคุ้มครองสิทธิของปวงชนชาวไทยไว้อย่างชัดเจนและกว้างขวาง ปรากฏชัดในข้อเท็จจริงที่มีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค. มีพรรคการเมืองส่งสมัคร ส.ส.แบบบัญชี 77 พรรค และมีพรรคการเมือง เสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาแต่งตั้งเป็นนายกฯ 44 พรรค อย่างไรก็ตาม การใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ รับรองต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และกระบวนการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และต้องไม่ใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อบั่นทอนทำลายหลักการพื้นฐานการปกครอง และสั่นคลอนคติรากฐานการปกครองของไทยให้เสื่อมโทรมไป ด้วยเหตุเช่นนี้ประชาธิปไตยของนานาอารยประเทศจึงบัญญัติให้มีกลไกป้องกันการปกครองจากการถูกบ่อนทำลายโดยการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเกินขอบเขต
ดังนั้นแม้พรรคไทยรักษาชาติ จะมีสิทธิดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดโดยสมบูรณ์ แต่การใช้สิทธิเสรีภาพย่อมต้องอยู่บนความตระหนักว่า การกระทำนั้นจะไม่เป็นการอาศัยสิทธิและเสรีภาพให้มีผลกระทบย้อนกลับมาทำลายหลักการพื้นฐานและคุณค่าของรัฐธรรมนูญเสียเอง เพราะประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามนิติราชประเพณีของไทย มั่นคงในสถานะมาแต่โบราณโดยพระองค์จะทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกหมู่เหล่า ทรงเคารพกฎหมาย และโบราณราชประเพณี และทรงอยู่เหนือการเมือง ทั้งยังต้องระมัดระวังไม่ให้สถาบันถูกนำไปเป็นคู่แข่งหรือฝักใฝ่ทางการเมือง เพราะหากถูกกระทำด้วยวิธีการใดๆ สภาวะความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันฯ ต้องจะสูญเสียไปก็ย่อมไม่สามารถดำรงพระองค์ให้อยู่เหนือการเมืองได้ ซึ่งถ้าปล่อยให้การณ์เป็นไปเช่นนั้น สถาบันฯ ก็จะไม่อยู่ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยอีกต่อไป นั่นย่อมทำให้การปกครองของไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไทยจะต้องเสื่อมโทรมหรือถึงกับสูญสิ้นไป ซึ่งไม่ควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้น
ทั้งนี้ตามโบราณราชประเพณี แม้จะไม่มีบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรตามรัฐธรรมนูญ แต่พออนุมานความหมายเบื้องต้นได้ว่า เป็นประเพณีการปกครองที่ยึดถือปฏิบัติมานาน จนได้รับการยอมรับ ยึดถือปฏิบัติ และสมควรได้รับการถนอมรักษาไว้ มิใช่ประเพณีการปกครองประเทศอื่น และประเพณีการปกครองของไทยหมายถึงการปกครองในระบอบเสรี ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยรูปแบบอื่น ทฤษฎีอื่น หรือลัทธิอื่น ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่สถาบันฯต้องอยู่เหนือการเมือง เป็นกลางทางการเมือง ไม่เปิดช่องเปิดโอกาส ให้สถาบันฯ ถูกนำไปใช้ประโยชน์ ฝักใฝ่ทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้จะไม่มีบทบัญญัติทางรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะแต่ต้องนำโบราณราชประเพณีมาใช้บังคับด้วย
เมื่อ กกต.มีหลักฐานว่า พรรคการเมืองกระทำการใดๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ให้เสนอศาลวินิจฉัยยุบพรรค โดยพรรคการเมืองเป็นสถาบันการเมืองที่มีความสำคัญต่อประเทศ มีส่วนในการกำหนดตัวบุคคลที่จะไปเป็นตัวแทนในฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร กรรมการบริหารพรรค เปรียบได้กับมันสมองของพรรค เป็นผู้ใช้ดุลพินิจตัดสินและกระทำการใดๆ แทนพรรคการเมือง ดังนั้นผู้ที่เข้ามาจัดตั้งพรรคการเมือง จึงต้องรับผิดชอบต่อทุกการตัดสินใจที่ตนบริหารจัดการอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความมั่นคง ดำรงอยู่ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปของประเทศ
จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองผู้ถูกร้อง ตามมาตรา 92 วรรค 2 ระบบการปกครองในประเทศไทยมีวัฒนาการมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่มีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนมาถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ระบบการปกครองที่ว่านี้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด เป็นที่เคารพสักการะและเทิดทูนไว้ อันสังเกตได้จากภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2445 รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับมีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ และบทที่เขียนว่า พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะอันละเมิดมิได้
ประเด็นที่ 2 คณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้อง จะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 2 หรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 2 บัญญัติว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองกระทำการตามวรรค 1 ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น เมื่อผู้ถูกร้องได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 1 (2) และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องแล้ว จึงชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้องที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว อยู่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 อันเป็นวันที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 2 มีข้อพิจารณาต่อไปว่า เมื่อวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้องแล้ว จะต้องเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็นระยะเวลาเท่าไร เห็นว่าการกำหนดระยะเวลาของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิทางการเมืองอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้อาสาเข้ามาทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรระหว่างพฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งการกระทำ ให้ได้สัดส่วนกับโทษที่จะได้รับ ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคล เมื่อพิจารณาการกระทำของผู้ถูกร้องดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยังไม่ถึงขนาดที่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อีกทั้งการกระทำดังกล่าวเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบการปกครองของประเทศชาติ
นอกจากนี้ พิจารณาความสำนึกรับผิดชอบของคณะกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้อง ที่ได้น้อมรับพระบรมราชโองการไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมทันที ภายหลังที่ได้รับทราบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยังมีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ จึงเห็นสมควรกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้อง มีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ซึ่งจะสอดคล้องกับระยะเวลาตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 94 วรรค 2 ที่ห้ามผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งการบริหารพรรคของผู้ถูกร้องที่จะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ดังนั้น จึงให้เพิกถอนสิทธิรับสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้อง ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีการกระทำความผิด มีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 2
ประเด็นที่ 3 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้อง และถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง จะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 94 วรรค 2 หรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 94 วรรค 1 บัญญัติว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองใดแล้ว ให้นายทะเบียนประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา และห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองซ้ำ หรือพ้องกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองที่ถูกยุบนั้น และวรรค 2 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเหตุดังกล่าวไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนร่วม หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองอีก
ทั้งนี้ ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นถูกยุบ บทบัญญัติทางกฎหมายว่าด้วยผลของการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งไม่ได้ให้อำนาจแก่ศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองใดแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องสั่งให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งบริหารพรรคผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งดังกล่าว อยู่ในวันที่ 8 อันเป็นวันที่กระทำยุบพรรค ผู้ถูกร้องก็ไปจดทะเบียนขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่มีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อีกไม่ได้ ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 94
จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติผู้ถูกร้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 1 (2) และวรรค 2 เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้อง ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรค 1 (2) และวรรค 2 มีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง และห้ามมิให้ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้องดังกล่าว ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อีกไม่ได้ ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 94 วรรค 2
นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สรุปว่า
ประเด็นที่ 1 ศาลมีมติยุบพรรคผู้ถูกร้อง โดยมติเอกฉันท์ 9ต่อ0
ประเด็นที่ 2 เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง มีกำหนดระยะเวลา 10 ปี โดยมติ 6 ต่อ 3 รวม
ประเด็นข้อที่ 3 ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ผู้แทนผู้ร้องมาศาล และ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคผู้ถูกร้องมาศาล ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยที่ 3/2562 ลงวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2562 ให้ผู้แทนผู้ร้อง และผู้ถูกร้องฟังแล้ว ให้คู่กรณีคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันอ่านคำวินิจฉัย...