"สุวิทย์" ควง "อนุชา" ลุยหาเสียงอยุธยา ชูนโยบายช่วยชาวนา พยุงราคาข้าว 10,000 บาท ช่วยค่าเกี่ยวไร่ละ 2,000 ขอโอกาส "พลังประชารัฐ" บริหารประเทศ ลั่น "บิ๊กตู่" คือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกฯ
เมื่อวันที่ 3 มี.ค.62 ที่ลานอเนกประสงค์ริมทางรถไฟ สี่แยกหอนาฬิกา เทศบาล ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นำโดย นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค, นายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาตร์การเลือกตั้งภาคกลาง, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กรรมการบริหารพรรค, นายทศพล เพ็งส้ม อดีต ส.ส.นนทบุรี และนายชาตรี อยู่ประเสริฐ ผู้สมัคร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา เขต 2 ร่วมปราศรัยหาเสียง ท่ามกลางประชาชนที่เข้าร่วมรับฟังกว่า 6,000 คน
โดย นายสุวิทย์ กล่าวปราศรัยว่า ปัจจุบัน จ.พระนครศรีอยุธยา มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และเป็นจังหวัดที่มีรายได้เป็นอันดับ 4 ของประเทศ รองจาก จ.ระยอง จ.ชลบุรี และ จ.กรุงเทพฯ รายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ทั้งนี้อยุธยาจึงมีความสำคัญต่อคนไทย และเป็นที่รู้จักของต่างประเทศ ไม่เพียงการท่องเที่ยว ยังมีการลงทุนของต่างประเทศอีกด้วย แต่ต้องเติมคือการกระจายรายได้ให้กับพื้นที่ ชุมชนโดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อทำให้รายได้เกิดขึ้นที่ฐานราก สร้างความเข้มแข็งให้กับพื้นที่
อย่างไรก็ตามอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงยึดอาชีพเกษตรกรทำนาเป็นหลัก และในบางปีราคาข้าวก็ไม่ดี จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีนโยบายเพื่อช่วยชาวนา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างมาก คือ 1.พยุงราคาข้าวเปลือกเจ้า 10,000 บาท เพื่อชะลอการขาย และถ้าชาวนาได้ราคามากกว่า ก็สามารถไถ่ถอนไปขายเองได้ 2.การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ เรียกรวม คือ "ข้าวได้ราคา ชาวนาได้เงินเพิ่ม" ซึ่งเรามั่นใจว่านโยบายที่คิดมานี้เป็นสิ่งที่ทำได้จริง นอกจากนี้ยังมีอีกนโยบาย คือ "สวัสดิการประชารัฐ" ซึ่งจะดูแลประชาชนทุกคน และนโยบาย "สังคมประชารัฐ" ที่จะสร้างโอกาส สร้างอนาคต สร้างสังคมสีขาว คือ ปลอดภัย ปลอดโรค ปลอดยา
...
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า พลังประชารัฐมีแก้ว 3 ประการ ทั้งผู้สมัครที่เราคัดเลือกกันอย่างเข้มข้น จนได้คนที่มีคุณภาพเหมาะสมที่จะเป็นผู้แทนของพี่น้องประชาชน อีกทั้งเรื่องนโยบายที่มาจากความต้องการของพี่น้องประชาชน และที่สำคัญคือได้ผู้นำที่เป็น action man คือ คนที่ทำมากกว่าพูด ยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.
ด้าน นายอนุชา กล่าวปราศรัยว่า ตนเคยเป็น ส.ส.ของพรรคไทยรักไทย และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากกรณียุบพรรค จนกระทั่งตัดสินใจร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ อาสาเข้ามาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้หากสองพรรคการเมืองใหญ่ ยังถูกเลือกให้เป็นรัฐบาลอีก ความขัดแย้งที่มีมานานกว่า 10 ปี ก็จะไม่จบสิ้น ดังนั้นควรให้โอกาสพรรคการเมืองใหม่ อย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค เข้ามาแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พยายามสร้างความเจริญ ความมั่นคง และมั่งคั่งของประเทศ ดูแลคนยากจน รวมไปถึงเกษตรกรชาวไร่ชาวนา
ขณะที่ นายชัยวุฒิ กล่าวยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด พร้อมทั้งโจมตีรัฐบาลก่อนหน้านี้ ที่มีโครงการที่สร้างความเสียให้กับประเทศ จน พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาทำให้บ้านเมืองสงบ พร้อมชูการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอด 4 ปี ที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ใช่คนที่ดีที่สุด พูดไม่เพราะเหมือนนักการเมือง แต่คือคนที่เหมาะสมเป็นนายกฯมากที่สุดในตอนนี้