พรรคเพื่อชาติ ลงหาเสียงเขตบางเขน ดอนเมือง จตุพร จี้ บิ๊กตู่ ตอบให้ชัดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ บุคคลสาธารณะ พร้อมเตือน "สุเทพ" ปลุกมวลชนของตนเองนั้น เท่ากับไปปลุกมวลชนของฝ่ายตนด้วยเช่นกัน

วันที่ 1 มี.ค. คณะผู้บริหารพรรคเพื่อชาติ นำโดย นายอารี ไกรนรา ดร.วิโชติ วัณโณ รองหัวหน้าพรรค และ ดร.รยุศด์ บุญทัน โฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อชาติ พร้อมด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงลงพื้นกรุงเทพมหานครเขตบางเขน ช่วยผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อชาติ เขต 12 พันตำรวจเอก ปิยพงษ์ สาครเย็น เบอร์ 3 หาเสียง พบปะประชาชน ณ ตลาดยิ่งเจริญ และ นางกุฎารัศมิ์ กุลฉัตร เป็นผู้สมัคร ส.ส. เขตดอนเมือง เบอร์ 7 ณ ตลาดฝั่งโขง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

โดย นายจตุพร กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในเขตบางเขน และเขตดอนเมือง ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไม่ว่า จะพื้นที่ใดประชาชนก็ให้การตอบรับมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งส่วนตัวก็ได้บอกกับบรรดาว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ว่า ความขยันที่พบปะกับพี่น้องประชาชนหลายครั้งจะทำให้ประชาชนมีความเข้าใจและเห็นใจ ที่จะตัดสินใจเลือกในระบบบัตรใบเดียว ดังนั้น การพบปะประชาชนครั้งเดียวไม่เพียงพอ ขณะเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก แต่เป็นการหาเสียงแบบเคาะประตูบ้าน ทุกหลังคา มีโอกาสได้พูดคุยได้สัมผัส หากทำอย่างนี้ได้ครบถ้วน ตนก็เชื่อว่าเรื่องที่ยากก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่าย อีกทั้งเขตดอนเมือง ก็มีพี่น้องเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้ไปกับ นปช.จำนวนมาก จะได้ช่วยผู้สมัครของพรรคเพื่อชาติในเขตนี้เข้าไปทำหน้าที่ร่วมกัน

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีวันที่ 7 มีนาคมนี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ หรือไม่นั้น ส่วนตัวพยายามส่งกำลังใจให้กับพรรคไทยรักษาชาติ และตนไม่มีความสุขกับการที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งจะถูกยุบในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตนอยากให้กำลังใจบรรดามิตรสหายที่อยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ

...

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ตนได้ออกมาวิพากษ์กรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้ประกาศให้คนไทยเลือกข้างระหว่างระบอบทักษิณ กับข้างประเทศไทย โดยนายสุเทพ ด้ออกมาตอบโต้ตนว่า ไม่ให้ความสำคัญ และไม่ให้ราคานั้น ตนไม่ทราบว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นคนที่มีราคา หรือจะเป็นคนที่มีความสำคัญหรือไม่ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 5 ปี นายสุเทพ ต้องยอมรับว่า เป็นต้นเหตุหนึ่งของการยึดอำนาจ พาประเทศเข้าสู่เผด็จการทำให้เกิดความยากลำบาก

การที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปปลุกประชาชนในซีกของตนเอง โดยพยายามอธิบายว่า วันนี้คนไทยจะต้องเลือกข้างประเทศไทย ซึ่งนายสุเทพ พยายามเปรียบตัวเองเสมือนว่า อยู่ฝ่ายประเทศไทย และผลักฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่พวกของนายสุเทพว่า เป็นฝ่ายระบอบทักษิณ ซึ่งระบอบทักษิณไม่มีอยู่จริง เป็นแต่เพียงการบัญญัติคำขึ้นมาเพื่อให้ตนเองได้รับโอกาสจากพวกของตนเท่านั้น ดังนั้นตนได้เตือนนายสุเทพแล้วว่า การที่นายสุเทพ ปลุกมวลชนของตนเองนั้น เท่ากับไปปลุกมวลชนของฝ่ายตนด้วยเช่นกัน และล่าสุด ก็มีการปลุกวาทกรรมเรื่องการเผาบ้านเผาเมือง ดังนั้นหากนายสุเทพ ยังไม่หยุดตนก็จะอธิบายความแบบเเลกหมัดกัน ประชาชนจะได้ตัดสินใจกันง่ายขึ้น

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.อนุญาตให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มาช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงได้ โดยระบุว่า จริงๆ แล้วพลเอกประยุทธ์ ได้ช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงทุกวันอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะเวลาการรณรงค์หาเสียงที่เป็นอยู่ในขณะนี้เท่านั้น การพูดผ่านรายการคืนความสุข หรือการกระทำการใดๆ ยิ่งกว่าการหาเสียงที่ทุกพรรคการเมืองเดินมายกมือไหว้ขอคะแนนจากประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรที่น่าตกใจ คนจะเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องตัดสินใจหาเสียงกันมาตั้งแต่ต้นวันนี้ตนอยากถามว่า พลเอกประยุทธ์เป็นบุคคลสาธารณะ หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะหากไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐประเทศคงวุ่นวาย และคงไม่มีบุคคลสาธารณะที่ไหน จะไปสั่งการบริหารประเทศ

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ผ่านร่างกฎหมายไซเบอร์โดยไม่มีเสียงคัดค้านจากสมาชิกแม้แต่เสียงเดียวนั้น ส่วนตัวอย่างถามกลับว่า นี่คือเผด็จการอะไร และเป็นการสะท้อนอย่างชัดเจนว่า เผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจ มักจะมีการกล่าวอ้างในห่วงเวลาที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยว่า เป็นเผด็จการรัฐสภา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเผด็จการที่ทำหน้าที่ในฝ่ายบริหาร และเผด็จการที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เหล่านี้เป็นบุคคลที่ไม่ได้มาจากประชาชน ดังนั้นจึงไม่ฟังเสียงสะท้อนความจริงความเดือดร้อนจากประชาชน

อีกทั้งคำว่าเผด็จการรัฐสภา ถูกบัญญัติขึ้นโดยฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้ง แต่ในการพิจารณาร่างกฎหมายไซเบอร์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่ายิ่งกว่า เผด็จการรัฐสภา คือ เผด็จการทหาร ซึ่งปกครองประเทศมากกว่า 5 ปี แม้กระทั่งขณะที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก็ยังคงทำหน้าที่และผ่านกฎหมายที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยไม่มีเสียงคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว ดังนั้นเราทุกคนจะต้องเดินไปสู่การเลือกตั้งให้ได้เพราะการเลือกตั้งจะทำให้ มีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเสมอ ซึ่งต่างจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารมีเพียงฝ่ายเดียว คือ ฝ่ายเผด็จการและฝ่ายผู้แต่งตั้ง หรือ ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือหัวหน้าคสช.