เมื่อเรื่องราวการเมืองในอดีต กลายเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงไม่น่าจะมีใคร สามารถเล่าเท้าความเรื่องราวได้ดีเท่ากับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะหากย้อนไปถึง 46 ปี บุคคลในประวัติศาสตร์ คงเสียชีวิต หรือแก่เฒ่าตามๆ กันไปหมดแล้ว หากแต่ว่า 1 ในนั้นยังมีผู้ที่สามารถเล่าเรื่องราวได้เป็นฉากเป็นตอน
ความเป็นมา 14 ตุลาฯ มหาวิปโยค
เริ่มมาจากการที่ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รัฐประหารตัวเอง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ซึ่งนักศึกษาและประชาชนมองว่า การกระทำในครั้งนี้เป็นการสืบทอดอำนาจตนเองจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นอกจากนี้ จอมพลถนอม กิตติขจร จะต้องเกษียณอายุราชการเนื่องจากอายุครบ 60 ปี
แต่ทว่าเขากลับต่ออายุราชการตนเองในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกไป ทั้งทางด้านของพลเอกประภาส จารุเสถียร บุคคลสำคัญในรัฐบาล ที่มิได้รับการยอมรับเหมือนจอมพลถนอม กิตติขจร กลับจะได้รับยศจอมพล และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ประกอบกับมีข่าวคราวเรื่องทุจริตในวงราชการออกมา จึงสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอย่างมาก
...
ณรงค์ กิตติขจร บุตรชาย จอมพลถนอม เป็นเรื่องจริงอีกด้าน
พันเอกณรงค์ กิตติขจร บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 10 จอมพลถนอม กิตติขจร อีกทั้งยังเป็นบุตรเขยของ จอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 บุคคล ของฝ่ายรัฐบาลที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ปี 2516 เนื่องจากเมื่อครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตถึง 77 ราย ส่งผลให้ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร, จอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส ต้องออกจากประเทศ ภายหลังเหตุการณ์สงบลง พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ก็ได้เดินทางกลับประเทศไทย และได้ลงเล่นการเมือง โดยก่อตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า "พรรคเสรีนิยม" โดย พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ด้วยกัน 2 สมัย
"14 ตุลาฯ มหาวิปโยค ฟ้าดินลิขิต หากฝืนอำนาจอาจตายก็ได้"
น้อยยิ่งกว่าน้อยครั้ง ในรอบ 40 กว่าปี ที่จะปรากฏภาพและเสียงของ พันเอกณรงค์ กิตติขจร เล่าย้อนไปในวัย 31 จากนายทหารหนุ่มยศพันเอก ที่ถือว่าเรืองอำนาจในยุค 14 ตุลาคม 2516 ว่ากันว่าเขาเป็นนายทหารหนุ่มยศพันเอก ที่มีบารมีเหนือนายพลค่อนกองทัพ ในวัยที่อายุล่วงเลยมาถึง 80 กว่าปี ได้ออกปากว่า จะให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย
"เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่น่าจะลุกลามบานปลาย หากไม่มีคนยุแยง เพราะมีคนยุให้นักศึกษาเคลื่อนไหวก่อกวนมาเรื่อย จนกระทั่ง 10 ตุลาคม 2516 ทางพ่อตาผม (จอมพลประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีมหาดไทยในสมัยนั้น) บอกให้จับ แต่ผมบอกอย่าจับนะ จับแล้วมีเรื่องแน่ เพราะฝ่ายตรงข้ามของเราต้องการให้จับ ซึ่ง ไม่มีใครฟังผม สุดท้ายก็จับไปขังไว้ที่คุกบางเขน ผมจึงแนะนำให้ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยมีเรื่องใหญ่ และปล่อยแล้วไม่จบ เพราะมีคนเข้าไปส่งเสริมให้ทุนรอน ผมไม่เคยมองเห็นเด็กพวกนี้เป็นศัตรูเลย ผมสงสารเขาด้วยซ้ำ มีคนใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เด็กๆ รู้ไม่ทัน อย่างว่า จ้างกันมา เกณฑ์กันมา แม้แต่เด็กประถมยังมีเลย ผมสงสารเด็กจริงๆ ไม่รู้เอามาทรมานทำไม เด็กเล็กมานั่งทรมานเต็มไปหมด ธรรมศาสตร์นี่เต็มเลย ราชดำเนินนี่ ทั้งถนน"
ความเชื่อใจฝังใจ พ.อ.ณรงค์ คือ มีฝ่ายตรงข้าม เชื่อว่า "การเมืองต้องการให้โค่น 3 ผู้มีอำนาจ คือพวกเรา คือ "ถนอม ประภาส ณรงค์" พวกฝ่ายนั้นก็เด็กนะ ก็ออกมาใหญ่โต ก็เลยบานปลายกัน เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม เอาการเมืองมาใส่ทีหลัง เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขา 14 คน มาพบผมที่สวนรื่น ก็คุยกัน ตกลงกันว่า จากนี้ไป 6 เดือน จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่เหตุการณ์พลิกผัน เพราะมีการออกคำสั่ง จนลุกลาม เป็นมหาวิปโยค"
พ.อ.ณรงค์ ย้ำถึงความเชื่อ ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเด็กๆ เหล่านี้
"ผมจะบอกให้ก็ได้ เขาเป็นนายพลคนหนึ่ง ปัจจุบันเขาตายไปหมดแล้ว แต่เขาโกรธที่ไม่ต่ออายุเป็นอธิการบดีกรมตำรวจ ผิดหวังไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุด พวกเขามีจุดประสงค์เพื่อทำทุกวิธีทางให้เราพัง ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า มีพวกเดียวกันต้องการจะหักหลัง เพราะต้องการขึ้นเป็นใหญ่เอง สุดท้าย สิ่งที่ผมคาดก็เป็นจริง อย่างที่ผมเคยบอกไว้ "บานปลายไม่รู้นะ เตรียมตัวออกนอกประเทศละกัน ผมก็กลับมานอนบ้าน เดี๋ยวเดียวได้เรื่อง ก็มีการมาขอให้เดินทางไปพักผ่อนต่างประเทศชั่วคราว แหม ชั่วคราว เล่นซะหลายปี เราก็แย่"
พ.อ.ณรงค์ ย้อนนึกถึงความทรงอิทธิพลของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นเหตุของความขัดแย้ง "ใช่ ทางทหารก็ไม่มาก แค่ผู้บังคับบัญชาการกรมเท่านั้นเอง ก็มีอำนาจแค่ทหารกองพัน ตอนนั้นผมเป็นทหารอยู่ มีนายพลใหญ่คนหนึ่ง จะให้ผมไปเป็นรองเลขาธิการพรรคการเมือง ผมไม่เอา เล่นการเมืองมากไม่ได้ ไม่อยากทำ เขาก็ไม่พอใจ ผมไม่ยอม ผมมีหน้าที่เยอะแยะ ผมต้องทำตามกฎหมาย คนที่ผมใช้ให้ทำงานประจำ คือนายกล้านรงค์ เขาเป็นคนตรงมาก บางทีผมสั่งให้อะลุ่มอล่วยบ้าง ตรงเป็นไม้บรรทัด แต่เขาบอกว่าไม่ได้ ไม่งั้นเราเสีย เขาเป็นคนใช้ได้ทีเดียว "
ชีวิตหลังหล่นจากม่านการเมือง บ้านที่อยู่ก็ต้องเช่า เพราะถูกยึดหมด
"ผมไม่ได้หาผลประโยชน์อะไรเลย บัญชีเงินฝากในธนาคารยังไม่มีเลย บ้านผมปลูกมา มีหลักฐานซื้อขายถูกต้องก็ยังมายึดไป บ้านหลังนี้ ที่ตรงนี้ แม่ผมซื้อวาละ 35 บาท ตอนสืบสวนกับเจ้าหน้าที่เขาก็ยังไม่ฟัง ทรัพย์สินเรา ที่ดินเมียผม ซื้อมาวาละ 140 บาท ก็ถูกยึดไป ต้องเช่าอยู่หมด เขายึดหมดทุกอย่าง รถ บ้านที่คุณพ่อเกิดที่จังหวัดตาก อยู่ตั้งแต่แบเบาะ ยังยึดเลย ตอนนี้เอาไปเป็นห้องสมุดประชาชน บ้านเกิดคุณแม่ผม ที่ดินอยุธยา ที่ดินมีตั้งแต่ก่อนคุณแม่เกิด ก็ยึด เวลานี้ผมเป็นผู้อาศัย ผู้อาศัยบ้านตัวเอง "
ฝ่ายการเมืองหลายยุค พยายามทำเรื่องคืนทรัพย์สินให้ แต่ไม่ผ่านการพิจารณา
"ผมไม่หวังแล้วนะ ตั้งกรรมการตรวจสอบตั้งแต่ก่อนสมัย พลเอกเปรม เป็นนายกรัฐมนตรี พอมาพลเอกเปรม ก็ตั้งคณะกรรมการลงมติให้คืน เขาก็ไม่คืน เขาก็เก็บหลักฐานต่างๆ ที่สำนักนายกฯ ไม่มีใครกล้าแตะต้อง กลัวคนฮือขึ้นมาอีก หากต้องการคืนทรัพย์สิน ที่ถูกรัฐบาลยึด ต้องเข้าสภาผู้แทน เรื่องใหญ่"
ต้องหนีออกนอกประเทศไปเยอรมนี ลูกสาวมีกางเกงตัวเดียว
ส่วนภาพชีวิตที่ พ.อ.ณรงค์ จำไม่เคยลืมเลือน "พ่อผมลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ท่านพูดในที่ประชุมว่า ถ้าผมออกจากตำแหน่งเสีย เหตุการณ์มันอาจจะดีขึ้นก็ได้ คุณพ่อจึงกราบบังคมทูล บอกข้าพระพุทธเจ้าจะขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เหตุการณ์เรียบร้อย เช้าวันที่ 14 ตุลาคม ผมก็เดินทาง แต่คุณพ่อไปพักที่ดอนเมืองก่อนแล้ว ไม่ทันได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวอะไร ลูกสาวผมคนเล็กมีกางเกงเพียงตัวเดียว ใส่ชุดนอนไปด้วย ไปอยู่เยอรมนี 5 ปี ร่อนอย่างกับนก เขาไม่ยอมให้เข้าประเทศไทย ไม่ยอมให้กลับ"
อาจนับได้ว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้ครอบครัวกิตติขจร เดินผ่านเส้นทางอำนาจอย่างเจ็บปวด โดยไม่อาจหวนคืน "ชีวิตที่ผ่านมา เป็นพรหมลิขิต ฟ้าดินต้องการให้เป็นอย่างนั้น หากเราไปฝืนชะตาก็คงอาจตายก็ได้ ผมไม่ได้ยอมแพ้ใคร ผมชนะตัวเองด้วยซ้ำ ที่ผมดำรงชีวิตได้อย่างสบาย"
วันที่ 14 ตุลาคม วนมาถึงในทุกๆ ปี ในใจของ พ.อ.ณรงค์ รู้สึกอย่างไร เขาบอกกับเราว่า "ผมไม่ได้รู้สึกอะไรในเวลานี้ ผมไม่เคยคิดเรื่อง 14 ตุลาฯ อีกเลย ไม่มีความหมายอะไรเลย ผมอยากพูดว่า พวกเราเป็นชายชาติทหาร ไม่ต้องไปคิดย้อนหลังก็พิพากษาไป จะเห็นผมเป็นไส้เดือน เป็นเขียด เป็นกึ้งกือก็ได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมก็อยู่ของผมแบบนี้"
** เมื่อผมตายเมื่อไหร่ก็จบ คุณพ่อตายไปแล้ว พ่อตาก็ตายไปแล้ว เมื่อตายไปทุกอย่างก็จบไปด้วยหรือไม่ก็ไม่รู้ จะดีหรือไม่ดีก็ช่างตอนนั้นผมไม่รู้อะไรแล้ว