อย่างช้าอย่างเร็ว...ส่งผลต่างกัน
แม้ตัวแทนพรรคไทยรักษาชาติพยายามที่จะเคลื่อนไหวด้วยการยื่นเอกสารขอชี้แจงข้อเท็จจริงต่อ กกต. แต่ไม่ทันกาลเสียแล้ว เพราะ กกต.ได้ตัดสินชี้ขาดไปแล้ว
คือ ได้ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัย “ยุบพรรค” ไทยรักษาชาติได้ยื่นรายชื่อบุคคลเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นนายกฯ 1 รายชื่อ
แต่เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จึงมีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ม.92
พูดง่ายๆว่าผ่านขั้นจาก กกต.ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
จากนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะรับพิจารณาหรือไม่ หากไม่รับก็จบกันไป ตรงกันข้ามหากรับเรื่องวินิจฉัยก็แล้วแต่ว่าจะดำเนินการอย่างไรตามกระบวนการ
จะช้าจะเร็วอย่างไรก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจอย่างไร?
แต่ช้า-เร็วนี้ล้วนมีเหตุมีผลที่จะต้องพิจารณาเพราะเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญทางการเมืองซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.62
หากมีการพิจารณาในช่วงก่อนวันเลือกตั้งนั่นก็หมายความว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินในระยะเวลาไม่นานนัก
ทว่าช่วงก่อนวันเลือกตั้งนั้นก็มีอยู่ 2 ประเด็น
1.ห้ามพรรคไทยรักษาชาติเคลื่อนไหวให้รอผลการวินิจฉัย
2.ถ้าผลการวินิจฉัยออกมาให้ “ยุบพรรค” ก็เป็นอันว่าต้องลบชื่อทิ้งออกไปจากระบบทะเบียนรับรองของ กกต.จะออกมา 2 ลักษณะ
หากศาลวินิจฉัยก่อนวันเลือกตั้งผู้สมัครของพรรคไทยรักษาชาติจะไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งได้ทันทีถ้ามีคำสั่งยุบพรรค
อีกลักษณะ หาก กกต.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาและรับคดีเพื่อวินิจฉัย หากมีคำสั่งให้ยุบพรรค แต่เป็นช่วงหลังเลือกตั้งไปแล้ว ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักษาชาติที่ชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.
...
จะมีเวลา 90 วันในการหาพรรคการเมืองสังกัดใหม่
นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยในลักษณะไหน เพราะหากดำเนินการอย่างรวดเร็วก็น่าจะทันเวลาก่อนการเลือกตั้ง
อีกไม่นานก็คงจะรู้กันว่าจะออกมาในลักษณะไหน เมื่อใด และผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติจะต้องเจอมาตรการอย่างไร เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นอันสิ้นสุด
อีกทั้งบรรดากรรมการบริหารพรรคจะต้องถึงขั้นถูกดำเนินคดีอาญาหรือไม่ เพราะมีกฎหมายกำหนดเอาไว้แล้ว
คนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพรรคก็ต้องถูกเว้นวรรคทางการเมืองถึง 10 ปี
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสถาบันยุติธรรมว่าด้วยการตีความกฎหมายและคำร้องต่างๆ ซึ่งถือว่ามีอำนาจสูงสุดเพื่อตัดสินให้เกิดความยุติธรรม
ผลจะออกมาอย่างไรทุกคนทุกฝ่ายจะต้องให้การยอมรับ
เพราะเป็นกลไกสำคัญที่จะตัดสินใจชี้ขาดในการวินิจฉัยข้อกฎหมายเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
เมื่อจะต้องยอมรับกันแล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆจึงต้องดำเนินการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่ใช่ปล่อยข่าวลือเรื่องปฏิวัติ การปลอมแปลงเอกสารปลดผู้นำเหล่าทัพ
ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายต้องการ.
“สายล่อฟ้า”