วีรกรรมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประชาชนคนไทยจดจำได้เป็นอย่างดี มีหลายเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมขับไล่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างดุเดือด จนนำมาซึ่งการรัฐประหาร เมื่อ 19 ก.ย. 2549 

แล้วคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 ก็จบลงโดยสมบูรณ์ เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ จำคุกคนละ 8 เดือน 6 แกนนำ พันธมิตรฯ นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน หรือกลุ่มการเมืองสีเขียว และอดีตผู้ประสานงาน พธม. ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล โดยกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 ส.ค.-3 ธ.ค.2551 ทำความเสียหายรวม กว่า 6.7 ล้านบาท 

...

ศาลพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้งหกแล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่จำเลยอ้าง เพราะพฤติการณ์ของจำเลยและผู้ชุมนุมได้ปีนรั้วเข้าทำเนียบรัฐบาลที่ล็อกไว้ และอยู่ต่อเนื่อง ทำลายทรัพย์สินเสียหาย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหกฐานร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งหกเป็นเวลา 8 เดือน ไม่รอลงอาญานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

วีรกรรมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประชาชนคนไทยจดจำได้เป็นอย่างดี มีหลายเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมขับไล่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างดุเดือด จนนำมาซึ่งการรัฐประหาร เมื่อ 19 ก.ย. 2549 จากการนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้น  

การขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นนอมินีให้นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหนีไปอยู่ต่างประเทศ คดีที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี จนสุดท้ายนายสมัครถูกศาลตัดสินให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฐานมีความผิดในคดีทำกับข้าวรายการ"ชิมไปบ่นไป" 

ขณะที่คำพูดที่เป็นวรรคทอง จากการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกคนพูดถึงและยังจำได้จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ"การประท้วงสนุกมาก อาหารดี ดนตรีไพเราะ " เป็นคำพูดของนายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่พูดไว้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2551 หลังการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิหมดลง

มาถึงเหตุการณ์ความรุนแรง ที่จำไม่ลืม 7 ตุลาคม 2551 หรือ 7 ต.ค.เลือด ที่กลุ่มพันธมิตรฯ โดยการนำของ แกนนำทั้ง 6 คน ไปปิดล้อมและยึดทำเนียบรัฐบาล อยู่นานหลายเดือน ในรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยนายทักษิณ ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไม่น้อย ทั้งเหตุการณ์ล้อมรัฐสภาไม่ให้รัฐบาลนายสมชายแถลงนโยบาย ที่ทำให้ นส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (น้องโบว์) ถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาจนเสียชีวิต หรือแม้แต่ กรณีผู้ชายที่ขาขาด ที่นั่งอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีภาพอันน่ารันทด สลดหดหู่ เห็นกันไปทั่วในสื่อทุกแขนง  

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญ ที่ส่งผลทางการเมืองต่อมา ทำให้นายทักษิณและครอบครัว"ชินวัตร" ถูกศาลตัดสินสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท คดีซื้อขายหุ้นกว่า 7.3 หมื่นล้านอันโด่งดังในเวลาต่อมา และถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พี่น้องประชาชนไม่พอใจ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบัน 

ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่า กลุ่มคนเสื้อเหลืองก็มีส่วนสำคัญ ทำให้เกิดกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในเวลาต่อมา เพราะนักการเมืองต้องการนำมาต่อสู้กับมวลชนคนเสื้อเหลืองนั่นเอง 

ทั้งหมดนี้ คือส่วนหนึ่งของความทรงจำของประชาชนเกี่ยวกับคนเสื้อเหลือง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่วันนี้ก็ต้องรับผลที่ทำเอาไว้ในอดีต ถูกศาลตัดสินให้มีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก ซึ่งแกนนำเอง ก็ยอมรับกับโทษนั้น โดยไม่คิดหลบหนี ซึ่งก็น่าถือเป็นบรรทัดฐานของเหล่าแกนนำประชาชนของทุกสีได้ ไม่ว่าแดง หรือเหลือง 

เมื่อแกนนำตัดสินใจทำมันไปแล้วก็ต้องยอมรับและรับผิดชอบผลการกระทำนั้นในภายหลัง อย่างเป็นลูกผู้ชาย ซึ่งแกนนำพันธมิตรฯ ก็เชิดหน้ายอมรับชะตากรรม ยืดอกเข้าคุกกันไป 

ปิดฉาก ตำนาน 14 ปี แกนนำพันธมิตร อาหารดี ดนตรีไพเราะ กันไป แล้วขอให้เป็นเครื่องสอนใจว่า ใครก็อย่าไปทำอีก...