เรกคอร์ดที่น่าตกใจ เมืองหลวงประเทศไทยทะลุติดอันดับ 3 เมืองที่อากาศแย่สุดในโลก
ล้อตามสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เข้าสู่ห้วงวิกฤติ
ถึงขั้นที่ต้องประกาศปิดโรงเรียนในสังกัด กทม. 437 แห่ง ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดโรงเรียนพื้นฐาน โรงเรียนอาชีวะ สถาบันการศึกษา รวมถึงมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งใน กทม.และปริมณฑล ได้ประกาศหยุดการเรียนการสอนชั่วคราว 2 วัน เพื่อหลบสถานการณ์ฝุ่นพิษ
โดยรอประเมินสถานการณ์ ถ้าฝุ่นไม่จางก็อาจต้องหยุดยาวต่อไป
ในจังหวะที่รัฐบาลได้ยกระดับความเข้มของมาตรการจัดการวิกฤติฝุ่น PM2.5 ตามสัญญาณที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. จ่อออกคำสั่ง คสช.ควบคุมวิกฤติฝุ่นพิษในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดทั่วประเทศ
ตามแบบฉบับของรัฐบาลทหารที่ถืออำนาจพิเศษ
โดยเตรียมส่งกำลังทหาร เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ไล่ตรวจโรงงานปล่อยควัน ปล่อยของเสีย ควันพิษ ขยะ พร้อมสั่งปิดได้ทันที
![](https://static.thairath.co.th/media/BUCz3kW7pmsIQUex8DrvOtkp1H0iPOk0grTD8zssWqdTsEkN6dwIZilUv.jpg)
...
หรือต้องหยุดทำการช่วงเช้า ช่วงเย็น เพื่อลดปล่อยควัน
อีกด้านก็เตรียมงัดมาตรการบังคับใช้รถวันคู่ วันคี่ วิ่งบนถนน ตลอดไปจนถึงการห้ามนั่งรถยนต์คนเดียว แม้แต่เรียกแท็กซี่ก็ต้องไปทีละ 2–3 คน ส่งหลายที่หมายปลายทาง
โดยเฉพาะรถยนต์ปล่อยควันดำเจอตรวจจับ โดนยึด ต้องจอดทันที
สถานการณ์มาถึงจุดที่ผู้นำรัฐบาลต้องจ่าย “ยาแรง” แก้ที่ต้นเหตุแห่งปัญหาหลักๆที่มาจากไอเสียรถยนต์บนท้องถนน โรงงานปล่อยควัน รวมไปถึงการเผาในที่โล่งแจ้งของชาวนา ชาวไร่
หมดเวลาแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก กลัวกระตุกแรงต้าน
และไม่ใช่แค่ภาครัฐบาลที่ต้องเร่งแก้ไขฝุ่นพิษเฉพาะหน้า จริงจังกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อบรรเทาสถานการณ์ในระยะยาว ในมุมของภาคเอกชน รวมถึงประชาชนคนไทยเองก็ต้องให้ความร่วมมือ
เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อกู้วิกฤติฝุ่นที่กลายเป็นปัญหาระดับประเทศด้วยกัน
ท่ามกลางบรรยากาศวิกฤติฝุ่นปกคลุมเมือง อึมครึมขมุกขมัว ในห้วงสถานการณ์การเมือง
ก็เป็นจังหวะของคนกระโดด “คลุกฝุ่น” อย่างเต็มตัว
เคลียร์สถานภาพความชัดเจน เลิกคลุมเครือ
ตามคิวที่ทีม “4 กุมาร” พรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วยนายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.อุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์ฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้เข้าอำลานายกรัฐมนตรี
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04OSydxcEaHun7o0XKmuT9nSLAGHXFB5.jpg)
แถลงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อไปทำงานการเมืองเต็มตัว
สวมบทแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำทีมผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงแบบ full time เต็มเวลา
ในจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เปิดหน้าไพ่ แสดงความชัดเจนอีกขั้น โดยการยืนยันชัดถ้อยชัดคำถ้าจะไปต่อในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
เส้นทางผ่าน “บัญชีพรรคการเมือง” เท่านั้น
และนั่นก็สอดรับกันพอดี กับมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ โดยการแถลงของทีมอดีตรัฐมนตรี “4 กุมาร” มีมติเสนอชื่อบุคคลที่จะอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรี 3
ชื่อ ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2.นายอุตตม สาวนายน 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ส่งหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการ
ได้เวลาเปิดฝา “ไฮโลเปิดถ้วยแทง” ที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง
ภาพทางการเมืองของทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อในเส้นทางเลือกตั้ง ชัดเจนในระดับพันเปอร์เซ็นต์
และก็เป็นอะไรที่แปรผันตามแรงกระแทกที่พุ่งเข้าใส่ ในจังหวะที่เกมไหลโดย “อัตโนมัติ” แทบจะฉับพลันทันทีที่ทีมรัฐมนตรี 4 กุมารพลังประชารัฐไขก๊อก
ก็ตามด้วยเสียงโห่ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ลาออกตาม
พรรคประชาธิปัตย์ ลูกข่าย “ทักษิณ” แห่กระแสทวงถามสปิริต ตีปี๊บประจานตีกินกันเซ็งแซ่
แต่ก็เหมือนจะเตรียมรับสถานการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว แนวโน้มแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดชัดตั้งแต่วันที่ 4 รัฐมนตรีร่อนใบลาออก ยืนกรานเสียงแข็ง
ถ้าลาออกแล้วใครจะทำ กฎหมายไม่ได้ให้ออกก็ไม่ออก เป็นนายกฯอยู่อย่างนี้แหละ
รวมถึงตำแหน่งหัวหน้า คสช.ที่ต้องอยู่จนถึงมีรัฐบาลใหม่
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04OSydxcEaHun7o0XKpP3sbNXiryu3bt.jpg)
ในขณะที่ล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ได้เชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้าหารือเพื่อการกำหนดกรอบระเบียบแบบแผนในการวางตัวของข้าราชการ รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี
ออกเป็นข้อกำหนดในการวางตัวช่วงเลือกตั้ง
ตามรูปการณ์ ถือเป็นการยกระดับความชัดเจนให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ตรงกัน หาก พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับให้พรรคพลังประชารัฐใส่ในบัญชีเสนอเป็นนายกฯพรรค ไม่สามารถหาเสียงได้ทั้งในและนอกเวลา
โชว์ความจริงจังในการรักษากฎกติกา แสดงสปิริตความแฟร์
แต่นั่นก็ห้ามกันไม่ได้ เรื่องของการวิพากษ์ วิจารณ์ เกมดักคอตีกันการใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบมันเป็นเรื่องที่มาทุกยุคทุกสมัย ตามฟอร์มนักการเมืองอาชีพ เหลี่ยมเขี้ยวของรัฐบาลเลือกตั้ง
ลากอำนาจรักษาการกันจนหยดสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกันจะเห็นความแตกต่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในมุมของกฎหมายที่รัฐธรรมนูญกำหนดชัด รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่แค่รัฐบาลรักษาการ
แต่เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่
หรือในมุมของเงื่อนไขสถานการณ์ความจำเป็น ทั้งเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน จากการเลือกตั้งไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ใช้เวลาหลายเดือน
ภาวะคาบลูกคาบดอก จะปล่อยสุญญากาศอำนาจไม่ได้
ไหนจะเหตุฉุกเฉินที่ยากต่อการคาดการณ์ล่วงหน้า ตัวอย่างภัยพิบัติ พายุไต้ฝุ่นปาบึกที่ถล่มภาคใต้ หรือสถานการณ์สดๆร้อนๆตรงหน้า วิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 ปกคลุมกรุงเทพฯ ปริมณฑล
ถ้าไม่มีนายกฯเป็นคนนำกอบกู้สถานการณ์ มันจะหนักไปกันใหญ่
เหนืออื่นใด ต้องไม่ลืมว่าเป็นห้วงเวลาคาบเกี่ยวพระราชพิธีสำคัญ ที่จำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีเป็นหลักในการดูแลกระบวนการขั้นตอนให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
เพราะฉะนั้น วัดน้ำหนักกับเสียงโห่ฮาลอยๆ ของนักการเมือง
ตามท้องเรื่อง ปัจจัยหนุน “นายกฯลุงตู่” ไม่ต้องลาออก จึงแน่นกว่าด้วยประการทั้งปวง
ดีไม่ดี กระแสรุกคืบเอาศอกของทีม “ทักษิณ” กับพรรคประชาธิปัตย์ จะตีกลับเอาง่ายๆ
เพราะถึงจุดนี้ ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้คลายอำนาจเยอะแล้ว
แบบที่โดนนักการเมืองรุมถล่มโจมตีทุกวัน จนแทบลืมไปเลยว่ายังเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ถืออำนาจเต็มมือ
อะไรไม่เท่ากับว่า การถือกระบองยักษ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกนักการเมืองโหมตีปี๊บ ดักคอตีกินการใช้อำนาจเอาเปรียบ เอื้อประโยชน์ให้พรรคที่หนุน “นายกฯลุงตู่”
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04OSydxcEaHun7o0XLK8qYj2NJLL2ox3.jpg)
แต่ในมุมกลับกัน ดูให้ดีๆ มันคือสถานการณ์ที่แฝงไว้ด้วยอันตรายเสียมากกว่า
กับสภาพ “ดาบสองคม” ที่พร้อมบาดคนถืออำนาจได้ทุกเวลา
อาการแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้อง “เกร็ง” สั่งปรับภารกิจการเดินสายตรวจราชการ การประชุม ครม.สัญจรในต่างจังหวัดเปลี่ยนแผนกันใหม่
ไม่ให้หมิ่นเหม่ข้อกฎหมาย
เผลอพลาดเข้าเงี่ยงกับดักพวกจ้องเจาะยาง ตายน้ำตื้นได้ง่ายๆ
นี่ยังไม่นับอันตรายจากสถานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร สถานการณ์ในที่ประชุม ครม.ต่อจากนี้ ที่ต้องถูกจับตาการออกมติเอื้อแต้มให้พรรคพลังประชารัฐ แต่ในจังหวะเสี่ยงอาการ “ขัดลำ” แบบ เรื่องการออกกฎห้ามนั่งท้ายรถกระบะที่โดนกระแสต่อต้านลามทั่วบ้านทั่วเมือง
นั่นแหละจะเป็นเรื่อง พานให้ยี่ห้อพลังประชารัฐยางแตกไปด้วย
แต่ที่อันตรายสุดๆ “จุดตาย” ของรัฐบาลทหารในห้วงปลายอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ยังต้องพะว้าพะวัง ระวังพวกฉวยโอกาสทิ้งทวนในจังหวะสุดท้าย ก่อนตกขบวนไปต่อกับ “นายกฯลุงตู่”
ถ้าเกิดปมทุจริต คอร์รัปชัน โผล่มา ตายหมู่แน่
ตามประวัติศาสตร์ที่เห็นๆกัน “ทักษิณ” ที่ว่าแน่ๆ กระแสลอยลำ คะแนนเลือกตั้งนำโด่ง แต่พลันปมขายหุ้นเทมาเสกโผล่มาฟ้องการใช้อำนาจเอื้อธุรกิจ ประจานข้อหาทุจริตเชิงนโยบาย ก็พังง่ายๆ
“ลุงตู่” ก็อยู่ในภาวะเสี่ยง “ตายหมู่” ได้เหมือนกัน.
“ทีมการเมือง”