"อุเทน ชาติภิญโญ" อ้างลงทุนลงแรงทำโพลส่วนตัว ฟันธง "เพื่อไทย" เข้าป้ายชนะเลือกตั้ง ส.ส. ตามมาด้วย "ป.ช.ป. ขณะที่ "พรรคพลังประชารัฐ" เปลี่ยนใจชาวบ้านไม่ได้...

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวว่า หลังยุติบทบาทพรรคคนไทยไปแล้วเมื่อช่วงเดือน พ.ย.2561 แต่ยังเฝ้าสังเกตสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดมาตลอด ได้เห็นการสร้างวาทกรรมทางการเมืองของพรรคต่างๆ ว่า กระแสของพรรคตัวเองดีเช่นนั้นเช่นนี้ จึงตั้งสมมติฐานส่วนตัวการที่นักเลือกตั้งต่างแสดงความมั่นใจจะชนะการเลือกตั้งนั้นตรงกับความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ จึงเริ่มทำแบบสอบถามความคิดเห็นประชาชน หรือโพล เกี่ยวกับความนิยมที่มีต่อพรรคการเมืองต่างๆ ขึ้นในหลายจังหวัด ทั้งในกรุงเทพฯ 7 เขตเลือกตั้ง โดยเลือกทำโพลในพื้นที่รอบนอกเป็นชายขอบติดกับ จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร

นอกจากนี้ ยังทำโพลในต่างจังหวัดด้วย เช่น สมุทรสาคร ทั้ง 3 เขต และบางเขต ในหนองคาย และอุดรธานี ซึ่งผลปรากฏว่า แนวโน้มการเลือกพรรคที่ชนะ ยังคงเป็นเหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 โดยพรรคเพื่อไทย (พท.) ยังสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ก็เหนียวแน่นในเขตเดิมๆ ของตัวเอง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี และภาคใต้ จนพอสรุปได้ว่าผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทยจะได้ที่นั่งเป็นอันดับ 1 และพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ที่นั่งมาเป็นอันดับ 2 เช่นเดิม

ทั้งนี้ การสำรวจครั้งนี้ เน้นจำนวนกลุ่มตัวอย่างกว่า 6-7% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในพื้นที่นั้นๆ กระจายไปทั่วทั้งเขต เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด โดยใช้การนักศึกษาในเครื่องแบบ อีกทั้งยังลงไปควบคุมการทำผลสำรวจด้วยตัวเองทุกขั้นตอน เหมือนเมื่อครั้งที่เคยทำโพลให้พรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2543 ใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า ผลอุเทนโพลนั้น มีความแม่นยำสามารถอ้างอิงผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นได้

...

นายอุเทน กล่าวต่อว่า ในแบบสอบถามความคิดเห็นที่ตนออกแบบขึ้นมาเองนั้น ได้สอบถามทั้งการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดในอดีต สมัยที่แล้ว ตลอดจนจะลงคะแนนให้กับพรรคไหนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ปรากฏว่าส่วนใหญ่พฤติกรรมของประชาชนยังนิยมเลือกเฉพาะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่พรรครองๆ ลงมาถูกเลือกค่อนข้างน้อย ไม่เว้นกระทั่ง พรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่อีสาน ที่หนักไปกว่านั้นคือ พรรคการเมืองใหม่ๆ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ พรรคไทยรักษาชาติ และพรรคเสรีรวมไทย ที่หลายพรรคถูกกล่าวขานถึง และมีกระแสความนิยมที่ดีในสังคมออนไลน์นั้น กลับได้รับเลือกในจำนวนที่น้อยกว่าที่คาดไว้ ทำให้ผลอุเทนโพลครั้งนี้ ตรงกับสมมติฐานของตน และทำให้มั่นใจว่าเลือกตั้งปี 2562 นี้ พรรคเพื่อไทย ก็ยังครองแชมป์ได้เป็นที่ 1 อีกสมัย ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง จึงขอส่งความห่วงใยไปที่พรรคการเมืองต่างๆ อย่าไปหลงเชื่อกับกระแสลวง หรือกระแสมโนในโลกโซเชียลมากนัก

สำหรับสถานการณ์น่าเป็นห่วงที่สุดคงหนีไม่พ้น พรรคพลังประชารัฐ ที่ดูจะมีความพร้อมในด้านต่างๆ มากกว่าพรรคการเมืองใดๆ และมีนักการเมืองใหญ่ นักเลือกตั้งที่มีประสบการณ์เต็มพรรค แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจชาวบ้านให้มาเลือกผู้สมัครของตัวเองได้ เพราะนโยบายที่มียังไม่โดนใจพอ ห่างไกลเป้าหมาย แม้คนในพรรคฯ พยายามขายฝันไว้ว่าอาจจะได้ถึง 150 ที่นั่ง ซึ่งเชื่อว่า คนภายในพรรคเองคงมีการทำโพลในลักษณะเดียวกับตน แม้จะไม่ละเอียดเท่า แต่พอจะประเมินถึงโอกาสของพรรคที่เรียกได้ว่าริบหรี่ในหลายพื้นที่ สะท้อนผ่านนักการเมืองชื่อดัง และนักเลือกตั้งมากประสบการณ์ ที่เข้ามาเป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ แทบไม่มีรายใดกล้าที่จะลงสมัครเลือกตั้งในระบบเขต แต่กลับหนีขึ้นไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ เนื่องจากเกรงว่าจะแพ้ในระดับเขต แต่ถ้าอยู่ในบัญชีรายชื่อยังพอนำคะแนนรวมจากทั่วประเทศมาคำนวณตามที่นั่ง ส.ส.พึงมีได้

นายอุเทน กล่าวอีกว่า แนวโน้มเช่นนี้เหมือนเป็นการบังคับให้พรรคพลังประชารัฐต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน โดยให้นักการเมืองที่เป็นดาวฤกษ์ทั้งหลายที่มีพื้นที่ของตัวเองกลับมาสมัคร ลงส.ส.เขต แทนที่จะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ เพราะชื่อชั้นหลายคนอาจจะพอขายได้ และดึงดูดให้ฐานเสียงเทคะแนนให้ ถือเป็นเรื่องที่เหล่าดาวฤกษ์จำเป็นต้องเสียสละ ยอมเหนื่อยลงพื้นที่ มากกว่านั่งกระดิกเท้ารอพรรคฯ อุ้มเข้าสภา ที่สำคัญหากต้องการชนะการเลือกตั้ง หรืออย่างน้อยให้ได้ที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด เพื่อลดทอนที่นั่งของพรรคเพื่อไทย ก็ควรเสนอตัวลงเขตกันให้มากที่สุด ต้องจำไว้ว่า เป็นนักรบ อย่าไปกลัวที่จะทำศึกสงคราม หรือกลัวจะมีบาดแผล

นายอุเทน กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยที่คาดว่าจะชนะเลือกตั้งนั้น ข้อห่วงใยของตนต่อกรณี พรรคเพื่อไทยคือ โอกาสที่การเมืองจะวนเข้าสู่วงจรเดิมๆ เป็นวงจรแห่งความไม่สงบ สร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากจะใช้อำนาจทำเรื่องต่างๆ โดยอำเภอใจ จะมีการอ้างเสียงของประชาชน จนเป็นที่มาของ พ.ร.บ.ลักหลับ หรือกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ที่ทำให้รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ไม่ได้ ดังนั้น ขอฝากไปถึงพรรคเพื่อไทยอย่ามัวแต่หลง เหลิง หรือลุแก่อำนาจ แล้วนำอำนาจที่มีอยู่ ไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่คน ขัดกับสโลแกนขององค์กรที่ว่า หัวใจคือประชาชน ที่ผู้มีอำนาจต้องมองถึงประโยชน์ส่วนรวม ตรงนี้ พรรคเพื่อไทยต้องทำให้ได้หากต้องการมีอำนาจปราศจากความขัดแย้งไปนานๆ.