“เศรษฐพงค์” ฟันธง หลังเลือกตั้งเศรษฐกิจดีขึ้น ชี้ การเมืองโค้งสุดท้ายเข้มข้น วอน ทุกพรรคเน้นขายนโยบายสู้ศึก ลั่น ทำการเมืองสร้างสรรค์-ไม่สาดโคลน ย้ำ ซบ ภท.แนวทาง “อนุทิน” ชัดเจนมุ่งปากท้องชาวบ้าน
วันที่ 4 ม.ค. พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2562 ว่า จากนี้การต่อสู้ของพรรคการเมืองจะเข้มข้นขึ้นกว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเลื่อนหรือไม่ เพราะเวลานี้ถือเป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ทุกพรรคจะทำงานหนักเพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายพรรค แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วง และไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ การให้ร้ายป้ายสีทำลายพรรคการเมืองคู่แข่งด้วยคำพูด เพราะยังหากทำการเมืองในลักษณะนี้จะทำให้ประชาชนที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกิดความเบื่อ และไม่ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนน
"ทุกพรรควันนี้ต้องทำการเมืองแบบใสสะอาด แข่งขันโชว์ชั้นเชิงว่านโยบายใครดี และเข้าถึงประชาชนมากกว่ากัน หากมัวแต่โจมตีกันไปมา ประชาชนก็จะเสียโอกาสที่จะรับรู้ข้อมูลนโยบายดีๆ ทำให้ประเทศเราไม่หลุดพ้นจากวงจรการเมืองเดิมๆ สุดท้ายเขาจะมองเพียงว่าเลือกตั้งกันไปทำไมเสียเวลาเปล่า"
พ.อ.เศรษฐพงค์ ยังระบุว่า หากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย ตนเชื่อมั่นว่าเศรษกิจ การลงทุนในประเทศจะดีขึ้น ประเทศของเรานั้นมีความพร้อมในทุกด้าน เวลานี้เหลือแค่เพียงความเชื่อมั่นที่จะทำให้นานาชาติเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกันตนยังมั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะได้โยชน์สูงสุด เพราะนักการเมืองที่ร้างสนามไปนานอยากกลับมาทำงานให้ประชาชน และพรรคภูมิใจไทยในวันนี้ก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำนโยบายมาดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดีแบบยั่งยืน และอีกไม่นานจากนี้พรรคภูมิใจไทยจะเปิดนโยบายการเลือกตั้ง ซึ่งตนนั้นเชื่อมั่นมากว่าประชาชนจะชื่นชอบ เพราะสิ่งที่เรานำเสนอคือสิ่งที่ทำได้จริงไม่ใช่การขายฝัน
...
พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวถึงกรณีการถูกปรามาสว่าเป็นเพียงโฆษกขัดตาทัพของพรรคภูมิใจไทย ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งตนไม่คิดอะไรมาก เพราะวันที่ตัดสินใจมาทำงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย เพราะตนชอบแนวคิดและความเป็นผู้นำในแบบของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ ที่ทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ ไม่ทำลายล้าง ไม่ทำอะไรที่มีผลเสียหรืออาจทำลายประเทศชาติ แต่ต้องการเพียงมาทำงานเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
"การที่ผมไม่ตอบโต้ทางการเมือง จะปรามาสกันอย่างไรก็ทำไป เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมาประเทศอยู่ในวังวนเดิมเพราะความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นผมก็มีแนวทางที่ชัดเจน คือทำงานการเมืองแบบสร้างสรรค์ ผมต้องการพลิกวงการโฆษกแบบไม่โจมตี ไม่ตอบโต้ทางการเมือง ไม่ให้ร้ายใคร เพราะเวลานี้ประเทศต้องการความเปลี่ยนแปลง และผมยังไม่เห็นประโยชน์ว่าการด่ากันไปมาผ่านสื่อ ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ผมเอาเวลาแบบนี้ไปคิดนโยบายช่วยพรรคดีกว่าไหม" โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าว.