"บิ๊กตู่" ปากหวาน หลังมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นปี 61 ยกภาคอุตฯเป็นตัวผลักดันการพัฒนา ย้ำ ไม่หวังสืบทอดอำนาจ แต่สืบทอดอำนาจบริหารประเทศ ชี้ เป็นหน้าที่รัฐบาลหน้า สานต่อตามยุทธศาสตร์ชาติ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 20 ธ.ค.ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2561 (The Prime Minister's Industry Award 2018) โดยมี นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวรายงาน โดยมีอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ที่ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัล จำนวน 92 รางวัล
นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามา รวมทั้งอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ เป็นการเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาคต่างๆ ทุกระดับอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจระดับล่าง ขณะเดียวกัน อยากให้
ภาคอุตสากรรม ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนไม่ใช่ภารกิจของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ทุกฝ่ายต้องยกระดับไปด้วยกัน ในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า หัวใจสำคัญจำเป็นต้องมุ่งเน้นส่งเสริมความเข้มแข็งให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากล และทำให้บุคลากรการบริการมีมาตรฐานเกิดศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก
นายกฯ กล่าวด้วยว่า การดำเนินงานของอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากคำนึงถึงผลประกอบการแล้ว ก็ขอให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดูแลบุคลากร และดูแลประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบให้เกิดความสุขและมีความพึงพอใจ ทุกคนจะต้องคำนึงถึงว่าทำอย่างไรจะลดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจ
...
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้รัฐบาลปลดล็อกไปหลายประการ เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม อยากให้มองว่า รัฐบาลทุกรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลทุกภาคส่วน ทุกอาชีพ ทั้งผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง และรายได้สูง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดผลกระทบ มีความขัดแย้ง ในแง่ของคนรวย คนจน การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็มีอยู่แล้วทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็จะมีปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่งผลเสียต่อการเดินหน้าทางการเมือง การปฏิรูปทางการเมือง ทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ต้องดูแลคนทุกระดับ วันนี้โซเชียลมีเดียมีความสุขกว้างขวางมากขึ้น ขณะที่ความต้องการของคนก็มีมากขึ้น ทุกคนสามารถร้องเรียนและเรียกร้องแสดงความพอใจ และไม่พอใจผ่านสังคมโซเชียลได้ ซึ่งก็มีผลกระทบต่อรัฐบาลและผู้ประกอบการทั้งสิ้น นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลก็ออกไปไม่ได้ จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สร้างความเข้าใจร่วมกันพัฒนาประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาทุกอย่างก็ดีอยู่ แต่ควรจะต้องดีมากขึ้น จะทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้

"ผมพูดกับประชาชนไปหลายครั้งแล้วว่า ประเทศไทยมีความต้องการในการดูแลผู้มีรายได้น้อย ประมาณ 30 ล้านคน ถือว่าเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งส่วนนี้มีความต้องการมากขึ้น เพราะคนเยอะขึ้น รัฐบาลจึงมีมาตรการต่างๆ ออกไปดูแล หารายได้มาเพิ่มเติม ดังนั้น ถ้าทุกอุตสาหกรรมดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น ภาษีมากขึ้น ก็จะมีเงินเข้ามาเติมในส่วนของการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลมีรายได้อย่างเดียวจากการเก็บภาษี ดังนั้นถ้าเราใช้อะไรมากเกินไปเกินสัดส่วนที่มีอยู่ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะความต้องการของคนไม่มีวันสิ้นสุด แต่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะรีดภาษีจากประชาชนเพียงอย่างเดียว ยืนยันว่า การทำนโยบายต่างๆ รัฐบาลไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่เป็นการสืบทอดอำนาจทางการบริหารของรัฐบาลทุกรัฐบาล ต่อไป ในการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ อุตสาหกรรมต้องมีส่วนร่วมในยุทธศาสตร์ชาติทุกด้าน เพื่อทำให้เกิดความมั่นคง การเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนา การลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งการบริหารจัดการภาครัฐ เราต้องคิดให้กว้างรัฐบาลไม่ได้หวังสืบทอดอำนาจของใคร แต่เป็นการสืบทอดอำนาจของประเทศ ในการกำหนดวิธีการในการเดินหน้าประเทศไทยในทุกมิติ วันนี้รัฐบาลได้ปรับแก้หลายอย่างขอให้ไปดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้าง ผมไม่ได้พูดในเรื่องการเมือง แต่อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลกำลังพยายามทำอะไร และทุกคนจะต้องคาดหวังได้ว่า รัฐบาลต่อไปจะทำได้หรือไม่ และจะทำอย่างนี้หรือไม่ และผมก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลในเวลานี้ แต่ต้องศึกษาว่าเราได้ทำอะไรไปแล้ว วันนี้แค่เริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เราต้องเดินหน้าไปสู่อนาคตพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ใช่งานที่ง่ายนัก อะไรที่ยังทำไม่เสร็จก็มาทำต่อในรัฐบาลหน้า รัฐบาลก็แก้ไขปัญหาไปหลายประการแล้วในการเดินหน้าประเทศ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น" นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ได้อวยพรปีใหม่ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่รับรางวัลด้วย