เดือนสุดท้ายก่อนลาปี 2561 ไปสู่ปี 2562 ที่คนไทยจะได้มีโอกาสเลือกเส้นทางเดินของประเทศด้วยมือของตัวเอง ถ้าตัดสินใจถูกบ้านเมืองก็จะสงบราบรื่น หากตรงกันข้ามก็ตัวใครตัวมัน
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ล่วงเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2561 คือธันวาคมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ปีใหม่ 2562
สมัยวัยรุ่นล้วนอยากให้วันเวลาผ่านพ้นไปเร็วๆ เพื่อต้องการแสดงความเป็นหนุ่มเต็มตัวจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้เต็มตัว
เพราะถือว่าโตแล้ว มีวุฒิภาวะแล้ว
ครั้นโตขึ้นมาสู่ความเป็นผู้สูงวัยกลับมีความคิดที่ต่างออกไปเนื่องจากมีความรู้สึกว่าอายุยิ่งมากจะรู้สึกว่าวัน เวลามันผ่านพ้นไปเร็วเหลือเกิน
คิดไปถึงว่าชีวิตกำลังเดินเข้าสู่วัยใกล้ฝั่งแล้ว
มันก็เป็นอย่างนี้แหละ...ทั้งๆที่วัน–เวลาผ่านพ้นไปในจังหวะคงที่คือมีความแน่นอน ไม่มีช้าหรือเร็ว
แต่ที่คิดเป็นอย่างอื่นก็เพราะใจเราเองนี่แหละ...หาใช่อะไรอื่นไม่
นอกเหนือจากเป็นเดือนสิ้นปีแล้ว “ธันวาคม” ยังเป็นเดือนสำคัญในทางการเมืองเพื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้งเปลี่ยนผ่านประเทศ
เพราะจะมีหมายกำหนดทุกอย่างในทางการเมืองเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้รับทราบถึงความเป็นไปต่างๆ
ที่นักการเมืองรอคอยมากที่สุดก็คือการ “ปลดล็อก” เพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองอันเป็นกิจการสำคัญเมื่อได้อิสระอย่างเต็มที่
เลิกพูดกันว่าจะมีเลือกตั้งหรือไม่ วันที่ 24 ก.พ.62 จะได้ลงคะแนนหรือไม่ ถึงวันนี้แล้วคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัวเปล่าๆ
“นโยบาย” ยังมีปัจจัยสำคัญที่พรรค การเมืองทุกพรรคจะต้องแสดงให้ปรากฏต่อสาธารณะว่าจะทำอะไรให้ประชาชน ให้ชาติบ้านเมืองกันอย่างไร
เหนือจากการสังกัดพรรค ความเป็นผู้สมัคร การเปลี่ยนแปลงพรรค การวางตัวผู้สมัครในเขตต่างๆ รวม 350 เขต
อีก 150 คนไปรอจากปาร์ตี้ลิสต์
พูดง่ายๆ ว่ากระบวนการต่างๆนั้น ได้ผ่านพ้นขั้นตอนไปแล้ว
จะแค้นใจ จะเจ็บปวดใจ จะถอนแค้นอย่างไร โน่นต้องไปสางกันจากผลการเลือกตั้งที่จะออกมาว่าเป็นอย่างไร
ล้างแค้นสำเร็จด้วยผลแห่งชัยชนะ หรือถูกย้ำแผลเก่าก็ว่ากันไป
เหนืออื่นใดอีกฉากที่ผ่านไปอย่างหนึ่งคือ “นโยบาย” ของแต่ละพรรคต้องยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชนจนมาถึงเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งนั้น
คือ “นโยบาย” ที่ถึงอกถึงใจจนผู้คนติดกันงอมแงม
คราวนี้ก็อยากดูว่าเพื่อไทยที่ประสบความสำเร็จจากนโยบายมาก่อนจะมีทีเด็ดมากน้อยแค่ไหนจะทำให้ผู้สนับ สนุนพึงพอใจ
พรรคอื่นๆ จะมีอะไรออกมาให้ฮือฮาได้หรือไม่?
“เพื่อไทย” นั้นแม้จะมีการผละไปของนักการเมืองจำนวนไม่น้อยและเกิดอาการไม่ปกติในพรรค แต่ดูเหมือนทีมบริหารชุดใหม่ยังมั่นใจว่าชนะแน่
ทั้งๆที่เหตุและปัจจัยดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลดีต่อเพื่อไทยเท่าใดนัก ความสำคัญของนโยบายเป็นการสร้าง “จุดแข็ง” ขึ้นมาได้
“พลังประชารัฐ” เป็นพรรคใหม่เป็น “กองหนุน” สำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังคึกคักพร้อมไปทุกด้าน
จึงเป็นคู่ต่อสู้ที่ทำให้เพื่อไทยและเครือข่าย “ทักษิณ” ต้องคิดหนักและมีผลชี้ขาดต่อคำว่าชนะได้อย่างแน่นอน ถ้า “ทักษิณ” ไม่มีอาวุธหนักมาสู้ได้
นับวันพ่ายแพ้กันได้เลย...!!!