เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ อีอีซี กำลังจะกลายเป็นหัวใจการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะฉะนั้น การวางโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การที่นักลงทุนจะให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนประกอบด้วยปัจจัยหลายๆด้าน อาทิ ความมั่นคงด้านพลังงาน แหล่งน้ำและความปลอดภัย การรักษาสิ่งแวดล้อมคุณภาพชีวิตของประชาชน ล้วนแต่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะ ไฟฟ้า ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของ อุตสาหกรรมและการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ราคาและระบบไฟฟ้าสำรอง ที่จะต้องมีความสมดุลและได้มาตรฐานด้วย
ตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานคาดว่าในปี 2579 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะมี ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น กว่า 9,000 เมกะวัตต์ โดย กฟผ. จะมีการพัฒนาระบบไฟฟ้าสำรองหลายโครงการด้วยกัน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าวังน้อย เครื่องที่ 1-2 โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าบางปะกง เครื่องที่ 1-2 โครงการปรับปรุงขยายระบบส่งไฟฟ้า เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบ และ โครงการสถานีเก็บรักษาแปรสภาพก๊าซธรรมชาติของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวต่อไป
กฟผ. เองมีแผนที่จะ พัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกอีอีซี โดยการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้า พัฒนาระบบไฟฟ้าสำรอง ระบบไฟฟ้ารองรับรถไฟความเร็วสูง ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุดควบคู่กับการพัฒนาสำนักงานทุกแห่งผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก หรือ GECC
นอกจากนี้ ยังมีการนำ ระบบเทคโนโลยีชั้นสูง มาสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ให้การบริการผ่าน Mobile Application เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
...
เป็นที่ทราบกันดีว่า โครงการอีอีซี จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย และการพัฒนาเมืองไปสู่ความทันสมัย ดังนั้น พลังงานไฟฟ้า จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
เมื่อเร็วๆนี้ บอร์ดอีอีซี ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน ได้พิจารณา 4 โครงการหลักเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ได้แก่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน MRO ท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 3 และ ท่าเรือมาบตาพุดเฟสที่ 3 ซึ่งจะมีการออกหนังสือเชิญชวนเอกชนในการเข้าร่วมลงทุนในเร็วๆนี้
โครงการเหล่านี้มีความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าในการดำเนินการเป็นจำนวนมากและจะสร้างรายได้ สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องมั่งคั่งและยั่งยืน ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐกำหนดทิศทางการพัฒนาให้ชัดเจน แน่นอน ไม่ชักเข้าชักออก.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th