ปัดข่าวจับมือ ‘สนธิลิ้ม’ วรงค์ชู ‘ทำมากกว่าพูด’
“บิ๊กป้อม” ปัด คสช.จ้องยุบพรรคเพื่อไทย ตอกถ้าไม่ทำผิดจะกลัวอะไร “ยงยุทธ-จตุพร-ลูกสนธิ” ประสานเสียงปฏิเสธข่าวจับมือกันตั้งพรรคเพื่อชาติ “อดีตประธานรัฐสภา” เผยที่มาแนวคิดร่วมของคนจุดยืนต่างแต่รักชาติ มองเห็นปัญหาบ้านเมืองเหมือนกัน สบช่องเพื่อชาติตั้งนานแล้ว เหมาะเป็นพรรคตรงกลาง ให้ทุกฝ่ายทุกสีร่วมงานการเมือง ยันไม่ลงเลือกตั้ง ขอเป็นเรือแจวส่งทุกฝ่ายถึงเกาะกลาง “ตู่” ซัดจับแพะชนแกะ คุยแกนนำ พธม.แต่ปัญหาบ้านเมือง หาทางออกให้ประเทศชาติ ไม่มีเรื่องตั้งพรรค “จิตตนาถ” โอดให้พ่ออยู่สบาย อย่าเอาชื่อไปหากิน ยันไม่มีดีลการเมือง กกต.รับลูกสอบอดีต ส.ส.บินพบ “ทักษิณ” ระบุยังไม่มีหลักฐานชี้ขาดครอบงำ “มาร์ค” สะกิดดูแตกสาขาเข้าข่ายฮั้วหรือไม่ ลั่น ปชป.เป็นพรรคหลักไม่ใช่อะไหล่ของใคร หาเสียงชิง หน.พรรคฟุ้งฉุดไทยพ้นหล่มเผด็จการ-ทุจริต “วรงค์” จะเปลี่ยนเป็นพรรคทำมากกว่าพูด นายกฯย้ำเวทีลุ่มน้ำโขงเสถียรภาพไทยมั่นคงแข็งแกร่ง
หลังจากมีความเคลื่อนไหวจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นเป็นระยะ โดยพรรคเพื่อไทยถูกมองว่ามีการแตกแยกสาขา ไปตั้งพรรคเพื่อธรรม เพื่อรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุถูก คสช. และ กกต.สั่งยุบพรรค และล่าสุดมีการจัดตั้งพรรคเพื่อชาติมาเป็นแนวร่วม โดยจะเป็นการสลายขั้วมวลชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง มาขับเคลื่อนร่วมกัน

...
“บิ๊กป้อม” ปัด คสช.จ้องยุบเพื่อไทย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ต.ค. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ. รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ที่ใช้แนวทางแยกกันเดินรวมกันตีกับพรรคเพื่อธรรมและพรรคเพื่อชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ หลังจากเชื่อว่าจะถูกยุบพรรค โดยมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังว่า ไม่ทราบ เพราะตนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ คสช.เท่านั้น ส่วนที่นายทักษิณแสดงตัวอยู่เบื้องหลังของพรรคเพื่อไทยนั้น หากทำผิดเรื่องการเมืองเป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หากทำผิดกฎหมายเป็นเรื่องของเขา ขอยืนยันว่า คสช.ไม่ได้มีแผนที่จะยุบพรรคเพื่อไทย คสช.จะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าจะถูกยุบพรรคต้องเป็น กกต.จะมาโทษ คสช.ได้อย่างไร และตอนนี้ คสช.ยังไม่ได้ประชุมอะไรเลย
สวนถ้าไม่ผิดจะกลัวอะไร
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยกังวลว่าพรรคจะถูกยุบเพราะเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งก่อนการเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เขาทำผิดหรือไม่ ทำไมจะต้องกลัวถ้าไม่ทำผิด พรรคการเมืองอื่นๆไม่เห็นกลัว เพราะเขาไม่ทำผิด
โฆษก กห.โวยสื่อปั่นข่าวนายถูกโห่
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ระบุถึงเสียงโห่ในงานแข่งรถโมโตจีพี เป็นเสียงโห่ต้อนรับว่า เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่าในสนามแข่งขันเสียงดังมาก รถมอเตอร์ไซค์ที่เข้าแข่งเครื่องยนต์กว่า 1,000 ซีซี พล.อ.ประวิตรได้ยินแค่เสียงคนในสนาม ทั้งนี้ ควรแยกแยะให้ออกว่า พล.อ.ประวิตรไปเปิดงานของรัฐบาล ไม่ใช่งานของนายเนวิน ชิดชอบ เป็นงานระดับประเทศสร้างรายได้ให้มหาศาล แต่วันนี้กลับมีสื่อนำคลิปจากตรงนั้นตรงนี้ไปปะติดปะต่อนัดแนะว่าเอาคลิปคนนั้นคนนี้จากโซเชียลมีเดียไปเผยแพร่ ไม่ควรกระทำ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ยังขุดกันมาให้เกิดความแตกแยก

มท.1 โต้ข่าว “บิ๊กตู่” ไม่ปลื้มไทยนิยม
ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ไม่พอใจการประชาสัมพันธ์โครงการไทยนิยมยั่งยืนของกระทรวงมหาดไทยว่า ไม่เป็นความจริงนายกฯไม่ได้ว่าอะไร โครงการเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ผลการปฏิบัติสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ตามกรอบเวลา ยังไม่พบการทุจริต กลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้สัมภาษณ์ผู้มีบัตรกว่า 8 ล้านคน ส่วนเพิ่มเติมคือกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง สัมภาษณ์เพิ่มอีกกว่า 4 ล้านคน กลุ่มของกระทรวงเกษตรฯ 4.3 ล้านคน กองทุนหมู่บ้านหรือโอทอป ผูกพันโครงการเกือบหมดแล้ว เหลือการเบิกจ่ายที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่เป็นไปตามกรอบเวลา ไม่มีปัญหา การสร้างการรับรู้ของประชาชนทำแล้ว 4 ครั้ง ได้รับทราบปัญหาความต้องการสะท้อนมาเป็นโครงการ

“ยงยุทธ” หนุน “เพื่อชาติ” ของคนรักชาติ
วันเดียวกันนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์กรณีปรากฏชื่อร่วมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.เป็นผู้ร่วมสนับสนุนจัดตั้งพรรคเพื่อชาติว่า จุดเริ่มต้นคือการไปเยี่ยมนายจตุพรในเรือนจำหลายครั้ง และนายจตุพรได้เล่าให้ฟังว่ามีการพูดคุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ถือเป็นฝ่ายตรงข้ามกันมาตลอด ทำให้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายมองปัญหาเหมือนกัน ทุกคนรักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน เพียงแต่มีจุดยืนที่ต่างกันเท่านั้น จากนั้นตนและนายจตุพรจึงพูดคุยกันว่าควรมีพรรคการเมืองที่อยู่ตรงกลาง ให้ทุกฝ่ายมาร่วมงานการเมืองกันได้ เห็นชื่อพรรคเพื่อชาติ ที่ตั้งมานานแล้วว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมให้ทุกฝ่ายมาทำงานการเมืองร่วมกัน จึงสนับสนุนให้มีการทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกันของทุกฝ่าย
แจงเป็นเรือแจวส่งทุกฝ่ายถึงเกาะกลาง
“พรรคเพื่อชาติจะเป็นจุดเริ่มต้น ต่อให้ในการเลือกตั้งไม่ได้ ส.ส. ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะเราได้เริ่มต้นแล้ว แต่หากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นที่ผ่านมา มีการแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายชัดเจน บังคับให้ทุกคนเลือกข้างบ้านเมืองจะไปไม่ได้ และในวันข้างหน้าผมชัดเจนไม่ขอรับตำแหน่งอะไรทางการเมือง แม้ไม่ได้ลงเลือกตั้งผมเป็นแค่เรือแจวให้คนทุกฝ่ายมาถึงเกาะกลาง แต่วันข้างหน้าพรรคอยากให้ช่วยงานอะไร ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนโยบาย พร้อมเป็นภารโรงทำงานให้กับพรรค” นายยงยุทธ กล่าว
วอนเลิกมองแต่ตัวเองทุกอย่างไปได้
นายยงยุทธกล่าวว่า หากทุกคนเลิกคิดถึงแต่ตัวเองว่า ต้องได้เป็น ส.ส. ต้องได้เป็นรัฐมนตรี แล้วมามองว่าประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร เชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ ส่วนพรรคเพื่อชาติจะเป็นการรวมสีเสื้อของทุกฝ่ายได้หรือไม่นั้น คงต้องไปถามนายจตุพรที่เป็นผู้พูดคุยกับนายสนธิจะดีกว่า แต่ขอเรียนว่าตามที่มีข่าวของสื่อบางสำนักไปลงข่าวว่าผมและนายสนธิไปจับมือกันตั้งพรรคการเมืองนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงข้อเท็จจริง อาจไปรับฟังข้อมูลจากบางแหล่งที่ไม่ได้รับรู้และเข้าใจอย่างครบถ้วน แล้วไปตีความกันเช่นนั้น นายสนธิไม่ได้อยู่ในสถานะจะมาตั้งพรรคได้ เรื่องนี้เป็นเพียงแนวคิดที่เรามองเห็นปัญหาของชาติบ้านเมืองตรงกัน และเห็นว่าควรจะมีทางออกเพื่อประเทศชาติอย่างไรให้เดินหน้าไปได้ โดยที่ทุกฝ่ายที่เราต่างรักชาติด้วยกันทั้งนั้น ควรมีพรรคที่เป็นกลางๆ ให้ผู้คนที่มีแนวคิด อุดมการณ์แบบเดียวกัน มาทำงานด้วยกันได้

“จตุพร” ชี้งดงามคนเห็นต่างคุยกันได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภาและตนจับมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งพรรคเพื่อชาติขึ้นมาหวังสลายสีเสื้อเหลืองแดงว่า ไม่มีมูลความจริงเลย จับแพะชนแกะ เข้าใจผิดกันไปมากกว่า นายสนธิยังมีโทษอยู่ เข้าใจว่าอาจเห็นจากที่มีข่าวการพูดคุยระหว่างตนกับนายสนธิรวมถึงอดีตพระพุทธะอิสระในเรือนจำ เป็นคนที่เห็นต่างทางการเมือง แต่สามารถพูดคุยหาทางออกให้ประเทศร่วมกันได้ ถือเป็นภาพความงดงามอย่างหนึ่ง เป็นคนละส่วนกับเรื่องที่จะมาตั้งพรรคการเมืองร่วมกัน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต่างคนต่างถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจะมาคุยเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ยืนยันว่าตนและนายสนธิพูดกันแต่เรื่องปัญหาของชาติบ้านเมืองเท่านั้น ไม่เคยพูดกันเรื่องตั้งพรรคเพื่อชาติหรือตั้งพรรคใดทั้งสิ้น
ชูบ้านใหม่ตอบโจทย์คนรัก ปชต.
นายจตุพรกล่าวต่อว่า การตั้งพรรคเพื่อชาติยอมรับว่ามีกลุ่ม นปช.บางส่วนที่สนใจอยากเข้ามาทำงานการเมือง อยากมีเวทีจะทำงานต่อ โดยไม่มีเรื่องความขัดแย้งมาเกี่ยวข้อง รัฐธรรมนูญออกแบบมาเพื่อจัดการกับพรรคขนาดใหญ่ จะเห็นได้ว่าคนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิฯ จึง กระจายกันอยู่ถึง 5 พรรค ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรค พลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรค ประชาชนปฏิรูป และพรรคพลังธรรมใหม่ นายสุเทพอ่านขาดตั้งแต่ต้น ขณะที่พรรคเพื่อไทยจะประสบปัญหา ไม่มีที่เหลือเลย ขณะที่กลุ่ม นปช.มีบางส่วนอยากทำหน้าที่ในสภาฯ ต้องมีพรรคให้เข้ามาอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน พรรคเพื่อชาติจึงเกิดขึ้นตอบโจทย์ให้กลุ่มคนที่รักประชาธิปไตยและไม่เอาเผด็จการ ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน ไม่ว่าจะมาจากสายไหน รวมทั้ง นปช. ตนถึงมาเป็นกองเชียร์พรรคนี้ อย่างไรก็ตาม นปช.ที่มีพื้นที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มาอยู่พรรคเพื่อไทยต่อได้ แต่คนที่ไม่มีพื้นที่ก็มาอยู่พรรคเพื่อชาติแทน
“ลูกสนธิ” ปัดดีล “บิ๊ก นปช.”
นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือผู้จัดการ บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ กล่าวถึงกรณีข่าวนายสนธิ จับมือกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา เพื่อสลายสีเสื้อก่อตั้งพรรคการเมืองด้วยกันว่า ตนในฐานะที่เป็นลูกชาย ขอออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงและขอประณามนายจตุพรและนายยงยุทธที่เอานายสนธิออกมาทำมาหากิน ตนไปเยี่ยมนายสนธิมา ซึ่งนายสนธิระบุว่า นายจตุพรเข้ามาพูดคุยว่าอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ นายสนธิบอกว่า โอเค ก็ดี ก็แล้วแต่ของนายจตุพร ซึ่งนายสนธิเป็นผู้รับฟังอย่างเดียว ไม่ได้คัดค้าน ไม่ได้เห็นด้วย ไม่ได้ปฏิเสธอะไร อย่างไร จุดยืนของนายสนธิมีอยู่จุดเดียวที่บอกผ่านตนมาคือประเทศมันไปต่อไม่ได้ถ้าเกิดว่าไม่มีการปฏิรูป เพราะการปฏิรูปเป็นการสลายสีเสื้ออย่างแท้จริง ปัจจุบันผ่านมา 4-5 ปี ก็ไม่ได้มีปฏิรูปอะไรที่เป็นรูปธรรม ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นแกนนำคนไหนจะไปตั้งพรรคการเมืองฝั่งไหน แล้วไม่ถามหาการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งบ้านเมืองมันไปต่อไม่ได้
โอดขอพ่ออยู่สบายอย่าเอาชื่อไปหากิน
“ขอเลยคุณสนธิอยู่ในเรือนจำก็ลำบากพออยู่แล้ว อย่าเอาชื่อของคุณสนธิไปทำมาหากิน ผมขอร้อง แค่นี้โดนทุกฝ่ายจ้องจับตา จ้องจับผิดกันอยู่แล้ว พอสักที ให้พ่อผมได้อยู่อย่างสงบสักทีเถอะ พวกคุณถ้าไม่คิดจะปฏิรูปเพื่อชาติ จะไปเล่นการเมืองเรื่องของคุณเลย อย่าเอาคุณสนธิมาทำมาหากิน ผมไม่ชอบ ปฏิรูปเพื่อชาติเท่านั้น ไม่ใช่มาตั้งพรรคการเมืองบ้าๆบอๆ” นายจิตตนาถกล่าว

พท.ไม่ขัดเพื่อนพ้องย้ายไปสังกัด
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคเพื่อชาติว่า ทั้งส่วนตัวและในนาม นปช.ไม่เคยร่วมหารือเรื่องพรรคกับคณะผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อชาติ คงพูดคุยกันในกลุ่มผู้สนใจมาระยะหนึ่งแล้ว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ออกจากเรือนจำ ให้ความสนใจเรื่องนี้ต่อเนื่อง ส่วนแกนนำ นปช.เคยหารือนอกรอบได้ข้อสรุปว่ายังไม่มีแนวคิดตั้งพรรค สมาชิกหรือแกนนำคนไหนจะร่วมงานกับพรรคใด ตราบเท่าที่พรรคนั้นยืนบนหลักการประชาธิปไตยถือเป็นเสรีภาพ ถ้ามีจุดยืนที่เปลี่ยนแปลงไปถือว่าสิ้นสภาพ นปช. ถ้าพรรคเพื่อชาติยืนยันหลักการประชาธิปไตยไม่มีข้อขัดแย้ง ไม่ทราบว่ามีใครเข้าร่วมบ้าง ตนและแกนนำส่วนหนึ่งยืนยันเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้วและจะร่วมงานต่อไป ทั้งนี้ ไม่คิดว่าพรรคไหนจะเป็นนอมินีกันได้ น่าจะเป็นแนวร่วมในทางหลักการมากกว่า เพราะการเลือกตั้งคราวนี้มี 2 ฝ่ายเท่านั้นคือประชาธิปไตยกับเผด็จการ

บี้เร่งปลดล็อกเรียกความเชื่อมั่น
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยืนยันกับนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ก.พ.2562 ว่าก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยัน ญี่ปุ่นได้ถามถึงสาเหตุที่ได้ยืนยันครั้งก่อนว่าจะจัดเลือกตั้งในปี 2558 แต่ไม่สามารถจัดได้หรือไม่ เมื่อยืนยันอีกครั้งนายอาเบะมีสีหน้าอย่างไร เชื่อมั่นในคำพูดหรือไม่ และได้เล่าถึงสภาพปัญหาทางการเมืองหรือไม่ ทางเศรษฐกิจที่ประกาศเป็นไทยแลนด์ 4.0 แต่ทางการเมืองเป็น 0.4 เพราะพรรคการเมืองยังไม่สามารถเดินสายรับฟังปัญหาประชาชนเพื่อจัดทำและประกาศนโยบายได้ ทั้งที่นักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป อเมริกา ต่างอยากทราบทิศทางเพื่อวางแผนการลงทุนในอนาคต พรรคการเมืองติดล็อกเกิดความไม่ชัดเจนจนกระทบความเชื่อมั่น ควรรีบปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม จัดทำนโยบายอย่างเต็มที่เพื่อการเลือกตั้งเสรีและเป็นธรรม

“โอ๊ค” ชวนสมัครเข้าพรรคยกครัว
ช่วงค่ำ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กลุ่มธุรกิจในเครือกฤษดามหานคร เนื้อหาสรุปว่า “เอาคดีปักมันไว้ มันจะได้ไม่อยู่ให้รำคาญใจ ช่วงเลือกตั้ง คือเสียงคำรามครั้งสุดท้าย ก่อนที่อัยการจะเรียกตัวไปฟังคำสั่งคดีฯ ฝันไปเถอะครับลุงฉุน... !! 3 วันก่อน บินออกนอกประเทศ ไปเยี่ยมคุณพ่อที่ฮ่องกงจริง พอบินออกไปปุ๊บก็เฮกันลั่น บอกเลือกตั้งครั้งหน้าเบาแล้ว เดี๋ยวครอบครัวมันก็เผ่นไปกันหมดบ้าน นอกจากเราจะไม่เผ่นกันแล้ว ยังจะชวนทุกคนในบ้านมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคฯ เมื่อก่อนมีพ่อเป็นคนเดียว คราวนี้จะชวนมากันให้หมด จะได้ไม่ต้องเอาข้อกฎหมายมากล่าวหากันว่า คนนอกเข้ามาบงการ ต้องยุบพรรคฯอย่างโน้นอย่างนี้”
นายพานทองแท้ระบุอีกว่า บอกกับนายทักษิณว่ากำลังใจเต็มร้อยที่จะสู้ พอกันทีสำหรับการอยู่อย่างหวาดกลัว เฝ้าแต่รอฟังว่าเมื่อไหร่เผด็จการจะเริ่มต้นปรองดอง เมื่อไหร่จะเลิกหาเรื่อง เอาคดีมาปักนักการเมือง เพื่อต่อรองให้ยอม ลุงอยากให้ไปนักจะอยู่ ไม่อยากให้ตนช่วยหาเสียง จะไปทุกจังหวัด ทำทุกอย่างในกรอบกฎหมาย สนับสนุนทุกพรรค การเมืองที่อยู่ในฝั่งประชาธิปไตย รวมพลังกันเอาชนะการสืบทอดอำนาจของฝ่ายเผด็จการฯให้ได้ วันที่ 9 ต.ค. จะไปพบพนักงานอัยการ ถ้าไม่อยู่สู้คดีต่อไปคงเจอคำถามเหน็บแนมว่าไม่ได้ทำผิดแล้วกลัวอะไร

กกต.รับลูกสอบ พท.บินพบ “ทักษิณ”
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทยบินไปหารือกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ฮ่องกงถึงการจัดทัพเลือกตั้งและตั้งพรรคสำรองหากพรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรค ว่าได้ติดตามตรวจสอบอยู่ รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทุกเรื่องที่เคลื่อนไหวช่วงนี้ ทั้งที่กล่าวหาว่ากลุ่มสามมิตรดูดอดีต ส.ส. การเก็บบัตรประชาชน คลิปนายทักษิณชี้นำพรรคเพื่อไทย ถ้ามีหลักฐานถึงขั้นดำเนินการได้จะดำเนินการ ตอนนี้ข้อมูลที่มียังไม่ถึงขั้นครอบงำ จึงไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่จะนำไปสู่การพิจารณายุบพรรคเพื่อไทย ส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะตั้งพรรคสำรองนั้น หากยื่นขอ กกต.ต้องดำเนินการให้ ได้ปรับกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณารับจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองใหม่ ให้แล้วเสร็จใน 45 วัน นับแต่วันยื่นคำขอจัดตั้งพรรค เพราะเห็นว่าเข้าสู่โค้งสุดท้าย หากการเลือกตั้งอาจจะมีขึ้นวันที่ 24 ก.พ.62 ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วัน หรือช้าที่สุดวันที่ 26 พ.ย. จึงต้องปรับหลักเกณฑ์เพื่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร ไม่ได้เพื่อให้จัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ ทุกพรรคเท่าเทียมกัน

“มาร์ค” สะกิดดูแตกสาขาเข้าข่ายฮั้ว
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยตั้งพรรคสาขาเพื่อเป็นนอมินีทางการเมืองว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์ทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ไม่คิดระบบแตกสาขาพรรค ต้องตรงไปตรงมากับประชาชน เปิดเผยและโปร่งใส นี่คือทางเลือกที่เราเสนอให้ประชาชน ไม่ว่าใครจะออกแบบระบบอย่างไร ใครจะใช้เล่ห์กลเพื่อหลีกเลี่ยงระบบอย่างไร ที่สุดเชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะเป็นคนชี้ว่าจะให้พรรคการเมืองไหนเป็นใหญ่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกเสียงมีความหมาย แต่ กกต.ผู้รักษากฎหมายต้องไปดูเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยว่า การที่มีพรรคการเมืองเป็นนอมินีเช่นนี้ ผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะในกฎหมายมีเจตนารมณ์ค่อนข้างชัดว่าห้ามพรรคการเมืองต่างๆไปฮั้วกัน
อดีต ส.ส.กทม.ชักแถวเชียร์พรึบ
สำหรับการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อเวลา 09.45 น. กลุ่มอดีต ส.ส.กทม. นำโดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาค กทม. 20 คน รวมตัวให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งโดยสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำพรรคต่อ ทั้งนี้ มีอดีต ส.ส.ที่ลงนามรับรองให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ลงสมัครหัวหน้าพรรคมาร่วมด้วยคือนายกรณ์ จาติกวนิชและ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก
ฟุ้งฉุดไทยพ้นหล่มเผด็จการ-ทุจริต
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงคำขวัญหรือแฮชแท็กที่โพสต์ผ่านไลน์กลุ่มว่า Make My Mark ว่าเป็นข้อความที่คนรุ่นใหม่ร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ และจัดทำเป็นคลิปวิดีโอ จะสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยมือของตัวเองและสร้างประเทศไทยใหม่ การหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับการเมืองไทยและจุดยืนของพรรค ตนอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ให้หลุด พ้นจากปัญหาไม่เป็นประชาธิปไตยและการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ต่อไป จะมีการตั้งคำถามกับพรรคอื่นว่า เหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับประชาธิปัตย์ ที่พูดที่ จ.สงขลา ว่า อายุ 54 ปีแล้ว ไม่เกรงใจใครแล้ว เพราะทำงานการเมือง 26 ปี ระหว่างเป็นนายกฯต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจโลกและการจลาจล แต่กอบกู้วิกฤติและเริ่มต้นบางอย่าง แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง อายุขนาดนี้ แล้วจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริง จึงไม่ต้องลังเลใจหรือเกรงใจใครอีกต่อไป ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการและหล่มทุจริตคอร์รัปชัน
ลั่น ปชป.พรรคหลักไม่ใช่อะไหล่ใคร
เมื่อถามว่า มีการวิเคราะห์ว่า เลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้อาจเปลี่ยนอุดมการณ์พรรคไปด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครเป็นหัวหน้าพรรคคนอื่นว่า มีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง “หลังการเลือกตั้งเคยบอกแล้วว่าไม่ควร มาถามพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่าจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะมีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่างจากทั้ง คสช.และพรรคเพื่อไทย จะเป็นทางหลักของประเทศไทย ไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่าไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร ไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นทางหลักคือเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก ตรงไปตรงมาและมีความ ก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะให้คำตอบ”
เปลี่ยน “ชุมพล” คุมเกมหยั่งเสียง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รักษาการหัวหน้าพรรค แถลงหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมมีมติ แต่งตั้ง กกต.ของพรรค 5 คนคือ นายชุมพล กาญจนะ เป็นประธาน นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด นายธนา ชีรวินิช นายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว และนางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ เป็นเลขานุการ ทำหน้าที่ควบคุมและจัดการลงคะแนนหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อได้ผลการหยั่งเสียงแล้วหลังเวลา 17.00 น. วันที่ 5 พ.ย.
“วรงค์”เปลี่ยนเป็นพรรคทำมากกว่าพูด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้สมัครแข่งขันชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่างเร่งหาเสียงกันอย่างคึกคัก ทีมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดตัวคลิปวิดีโอชุด “เขาว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่ใหม่” ลงสื่อโซเชียลมีเดียทั้งไลน์กลุ่ม เพจเฟซบุ๊ก เนื้อหายืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ยังสดใหม่ เรียนรู้สิ่งใหม่ ทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดเวลา โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ผู้สมัครหมายเลข 2 โพสต์ถึงนโยบาย “กล้าเปลี่ยน เพื่อประชาชน” ว่า “สิ่งที่ จะเปลี่ยน 1. เปลี่ยนพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรค ที่ทำมากกว่าพูด เป็นพรรคที่เป็นทีมเวิร์ก กระจายอำนาจ สร้างบทบาทประธานสาขา 2.เปลี่ยนการเมืองให้เป็นที่พึ่ง พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนจากฝ่ายค้านผูกขาด เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ลดทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งแยกประชาชน 3.เปลี่ยนประเทศเป็นประเทศชั้นนำของโลก เริ่มต้นด้วยการปราบโกง” พร้อมเปิดกิจกรรมติดบ้าน ติดดิน ชุมชนแท็กซี่ ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัครหมายเลข 3 แจ้งว่า จะมีการเปิดตัวและวิสัยทัศน์ในการพัฒนาพรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 10 ต.ค. เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก จากนั้นจะเริ่มลงพื้นที่เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคที่ จ.ขอนแก่น ในวันที่ 11 ต.ค.
ภท.แย้มไต๋ “เศรษฐพงค์” ร่วมวง
นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าว พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ยื่นหนังสือลาออกจากรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อมาทำงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทยว่า ถ้ามาจริงน่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นคนมีความสามารถรอบรู้เรื่องโลกยุคใหม่ ถ้ามาร่วมก็ถือว่าได้บุคลากรที่มีค่ามาทำงาน ต้องติดตามในวันเสนอแนวทางเพื่อจัดทำนโยบายพรรค วันที่ 12 ต.ค. โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะเปิดเผยรายละเอียดบิ๊กเซอร์ไพรส์ ต้องจับตาดูว่าบุคคลเข้าร่วมงานนี้ และ พ.อ.เศรษฐพงค์จะมาหรือไม่ ถ้ามาชัดเจนระดับหนึ่ง ส่วนจะมาตำแหน่งโฆษกพรรคหรือไม่ ยังไม่ได้หารือ ต้องเป็นสมาชิกพรรคก่อน คนระดับ พ.อ.เศรษฐพงค์ ไม่เพียงแค่โฆษกพรรค สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ด้วย
โร่ร้องค้านแบ่งเขตโคราช
นายพลพีร์ สุวรรณฉวี สมาชิกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งจังหวัดนครราชสีมาว่า กกต.แบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 3 แบบ ที่น่าสงสัยคือทั้ง 3 แบบ มีพื้นที่เลือกตั้ง 4-5 เขต ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แบบนี้เอื้อให้บางพรรคหรือไม่ กกต.ไม่เคยลงพื้นที่ถามความเห็นประชาชน ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ ได้หารือกับประชาชนและนักการเมืองหลายคนในจังหวัด จะจัดทำเอกสารคัดค้านการแบ่งเขตดังกล่าวเพื่อให้แบ่งเขตใหม่
ชพน.ปัดวางตัว “สุวัจน์” ลงบัญชีนายกฯ
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา โฆษกพรรคชาติ พัฒนา กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าพรรคชาติพัฒนาจะเสนอชื่อนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคเป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคว่ายังไม่มีการหารือเรื่องรายชื่อบุคคลที่พรรคจะเสนอเป็นนายกฯ ต้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของพรรค และเปิดโอกาสสมาชิกพรรคมีส่วนร่วมก่อนตามข้อบังคับพรรคกำหนดไว้ ขณะนี้มีเพียงกำหนดการประชุมกรรมการบริหารพรรควันที่ 12 ต.ค. เพื่อจัดตั้งสาขาพรรคแห่งแรกที่ จ.นครราชสีมา เท่านั้น อาจมีการเข้าใจผิดหรือคาดเดาไปเอง ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่มีการกล่าวถึงการพิจารณาบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกฯของพรรค
พปชร.ระดมสมองภาคประชาชน
นายชวน ชูจันทร์ ว่าที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ตนในฐานะประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรตลาดน้ำคลอง ลัดมะยม ในวันที่ 15 ต.ค. จะจัดกิจกรรมพูดคุยเครือข่ายรัฐวิสาหกิจชุมชนจากทั่วประเทศ ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม ที่ทำงานร่วมกันมาตลอดทั้งเรื่องการบริหารน้ำและการเกษตร เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและแนวทางการทำงาน โดยได้เชิญนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ว่าที่หัวหน้าพรรคพลัง ประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ว่าที่เลขาธิการพรรค ร่วมกิจกรรมด้วย เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี จะได้รับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเปิดให้ทุกคนได้กำหนดอนาคตประเทศ ทั้งนี้ เป็นกิจกรรมชุมชนและเครือข่าย ไม่ได้จัดในนามพรรค เพราะพรรคยังจัดกิจกรรมไม่ได้
เตือน สนช.เข้าพรรคอาจตกเก้าอี้
ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีถ้ามีสมาชิก สนช.จะไปร่วมงานทางการเมืองกับพรรคการเมืองหรือจะไปสมัครเป็น ส.ว.ผ่านขั้นตอน ของ กกต.ต้องลาออกจากสมาชิก สนช.ก่อนหรือไม่ว่า การไปร่วมงานการเมืองต้องดูว่าไปร่วมงานลักษณะใด ถ้าถึงขั้นสมัครสมาชิกพรรค จะมีผลต่อสมาชิกสภาพ สนช.ทันที รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สนช.ทำหน้าที่ ส.ส. และ ส.ว.ด้วยจนกว่าจะมีรัฐสภาชุดใหม่มาทำหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้ง ส.ว. มีลักษณะต้องห้ามบางประการว่าห้าม ส.ว.เป็นสมาชิกพรรค ถ้ามีสมาชิก สนช.ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจะเข้าลักษณะต้องห้ามได้ ถ้าไปสมัคร ส.ว.ผ่าน กกต.รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามไว้
“วิษณุ” แจงกระบวนการคัดเลือก ส.ว.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระบวนการคัดสรรสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า มี 3 ประเภท ประเภทที่ 1 เป็นโดยตำแหน่งจำนวน 6 คน ประเภทที่ 2 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการอยู่ โดยรับสมัครจนถึงวันที่ 16 ธ.ค. จาก 10 กลุ่มอาชีพ คัดเลือกกันเองระดับอำเภอสู่จังหวัด สู่ประเทศให้ได้ 200 คน ก่อนส่งชื่อให้ คสช.วันที่ 2 ก.พ.62 หรือช้าสุดวันที่ 9 ก.พ.62 หรือ 15 วัน ก่อนการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 24 ก.พ.62 เพื่อ คสช.คัดเลือกเหลือ 50 คน และประเภทที่ 3 จำนวน 194 คน ได้จากคณะกรรมการคัดเลือก 9-12 คน ที่ คสช.ตั้งขึ้น โดยจะเริ่มคัดเลือกหลังจากได้ ส.ว.ประเภทที่ 2 แล้ว เพื่อจะได้ทราบว่ายังมีอาชีพอะไรที่ขาดไปจะได้เติมให้ถูกต้อง หากทำพร้อมกันอาจทับซ้อนจังหวัดและอาชีพได้ ส่วนใครจะเป็นคณะกรรมการคัดเลือกนั้นตนไม่ทราบ
กลุ่มต้าน คสช.แปลงร่างส่องเลือกตั้ง
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เครือข่ายนักวิชาการและกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวต้าน คสช. อาทิ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง กลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย รวม 12 องค์กร ผนึกกำลังเปิดตัวองค์กรตรวจสอบและจับตาการเลือกตั้ง ในนาม “เครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรมและมีผลในทางปฏิบัติ” หรือ FFFE โดยนายอนุสรณ์ อุณโณ ฐานะแกนนำเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง กล่าวว่า การเลือกตั้งไม่เพียงแค่การขับเคี่ยวกันของพรรคการเมืองแต่เป็นการเดิมพันของสังคมไทยว่าจะพาประเทศเข้าสู่ภาวะปกติได้หรือไม่ ประชาชนจึงต้องมีโอกาสเสนอความเห็น ทุกพรรคต้องสื่อสารกับประชาชนได้ ไม่ใช่ทำได้เฉพาะบางพรรค กลุ่ม FFFE จึงก่อตั้งขึ้นเริ่มเปิดโครงการวันที่ 14 ต.ค.ที่คณะนิติศาสตร์ มธ.ในรูปแบบเวทีเสวนาวิชาการ จากนั้นกลุ่มจะหารือถึงแนวทางสังเกตการณ์การเลือกตั้ง โดยจะเชิญองค์กรระหว่างประเทศที่เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษา และอาศัยพลังนักศึกษา อาจารย์ ภาคประชา–สังคมเข้าร่วม
เริ่มแล้วจับตากลโกง–กระทุ้งเลิก ม.44
น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง กล่าวว่า แม้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปีหน้า แต่ยังต้องการความมั่นใจ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ตรงกันข้ามกับที่คาดหวังไว้ กฎหมาย คำสั่ง คสช.ยังคุกคามผู้เห็นต่าง พรรคการเมืองยังไม่สามารถเคลื่อนไหวอิสระ ขณะที่กลุ่มสนับสนุน คสช.ทำได้ทุกอย่าง กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจึงเชื่อว่าการโกงการเลือกตั้งได้เกิดขึ้นแล้ว จึงต้องจับตานับตั้งแต่บัดนี้ และเคลื่อนไหวผลักดันให้การเลือกตั้งอยู่ในหลักการ ยุติการสืบทอดอำนาจ คสช.ให้ได้
ขณะที่นายธนวัฒน์ วงศ์ไชย ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเลือกตั้งต้องอิสระอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นจะกลายเป็นแค่พิธีกรรมฟอกขาวและสืบทอดอำนาจ ขอให้จับตาว่าจะเหมือนการเลือกตั้งอัปยศเมื่อปี 2500 หรือไม่ นอกจากนี้ขอเรียกร้องให้เลิกประกาศคำสั่ง คสช.และมาตรา 44 ตลอดจน 4 รัฐมนตรีที่อยู่พรรคพลังประชารัฐต้องลาออกจากรัฐบาลทันที
สธ.ชงตั้ง กก.สุขภาพแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 10 ต.ค.กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ หลังผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว สาระสำคัญกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ 45 คน มีนายกฯ เป็นประธาน มีรองนายกฯ รมว.สาธารณสุข เป็นรองประธาน กรรมการมาจากภาครัฐ 12 คน หน่วยงานที่มีกฎหมายจัดตั้งเฉพาะด้านสุขภาพ 6 คน สภาวิชาชีพ 9 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 คน ผู้แทนภาคประชาสังคมและเอกชน 5 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน โดยมีอำนาจกำหนดทิศทางนโยบายหลักด้านสุขภาพของประเทศและประชาชน ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเสนอต่อ ครม.ทุก 4 ปี และกำหนดนโยบายการเงินการคลังด้านสุขภาพ เป็นต้น
นายกฯหนุน 3 เสาหลักแม่โขง-ญี่ปุ่น
สำหรับภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ที่เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันที่ 9 ต.ค.ก่อนประชุม นายกฯพร้อมผู้นำรับประทานอาหารเช้ากับสมาชิกสมาคมมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น-แม่โขง ที่โรงแรม The new otani ก่อนจะไปยังเรือนรับรองรัฐบาล ญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นครั้งที่ 10 โดยนายกฯกล่าวในที่ประชุมตอนหนึ่งว่า ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ที่ยาวนาน เป็นหุ้นส่วนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไทยพร้อมสนับสนุนความร่วมมือ 3 เสาหลัก ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพ สร้างประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและสร้างความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสีเขียว หลังการประชุมฯ มีการรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ.2018 จากนั้นเข้าร่วมพิธีมอบลูกฟุตบอลแก่กัปตันทีมฟุตบอลเยาวชนในการแข่งขันฟุตบอลมิตรภาพประเทศลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ก่อนทานอาหารกลางวันร่วมกับผู้นำและผู้แทนสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเคดันเรน สภาหอการค้าอุตสาหกรรมญี่ปุ่น
โวการเมืองไทยมั่นคง-ศก.แข็งแกร่ง
ช่วงบ่าย นายกฯเข้าร่วมงานสัมมนาการลงทุนลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่นขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น (JETRO) โดยกล่าวถ้อยแถลงตอนหนึ่งว่า ขณะนี้กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการปรับตัวเข้ากับโลกในปัจจุบัน มีเป้าหมายพัฒนาอุตสาหกรรมเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อที่จะยกระดับอุตสาหกรรมให้มีมูลค่าเพิ่มและกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 ญี่ปุ่นสามารถใช้โอกาสสำคัญนี้ร่วมลงทุน เพื่ออนาคตและเติบโตไปด้วยกัน ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทย ขณะนี้มีเสถียรภาพมั่นคงและแข็งแกร่ง มีการวางแผนที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ เชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจโลกดูแลสิ่งแวดล้อม ทั้งในอุตสาหกรรม และชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งนี้ หลังจากเสร็จภารกิจนายกฯเดินทางกลับถึงไทยเวลาประมาณ 04.50 น. วันที่ 10 ต.ค.