อดีต ส.ส.กทม.ปชป.ตบเท้าเชียร์ "อภิสิทธิ์" สู้ศึกชิงหัวหน้าพรรค!! "มาร์ค" แจงที่มาแฮชแท็ก "Make My Mark" ย้ำหมดเวลาเกรงใจคน ต้องเลือกไม่ใช่ชาติติดหล่มเผด็จการ-คอร์รัปชัน ลั่นคำ ปชป.ไม่ใช่พรรคอะไหล่ของใคร ยึดอุดมการณ์ 2489

เมื่อวันที่ 9 ต.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงาน จากพรรคประชาธิปัตย์ว่า กลุ่มอดีต ส.ส.กทม. นำโดย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาค กทม.ราว 20 คน รวมตัวให้กำลังใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง โดยประกาศสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคต่อ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอดีต ส.ส.ที่ลงนามรับรอง นายอลงกรณ์ พลบุตร ให้ลงสมัครหัวหน้าพรรคมาร่วมด้วย คือ นายกรณ์ จาติกวณิช และน.ส.รัชดา ธนาดิเรก

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงคำขวัญหรือแฮชแท็กที่โพสต์ผ่านไลน์กลุ่มว่า Make My Mark ว่าเป็นข้อความที่คนรุ่นใหม่ร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ และจัดทำเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งมีหลายความหมายคือ การมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หมายถึงการสนับสนุนตนทำหน้าที่ มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คนในประเทศรอคอยทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แต่ส่วนถ้าเล่นคำพ้องกับชื่อตนคือ Mark จะสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยมือของตัวเอง และสร้างใหม่ประเทศไทย ซึ่งการเปิดกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับการเมืองไทยและจุดยืนของพรรค ซึ่งตนอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากปัญหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ทำให้หลายคนสนใจอยากมีส่วนร่วม ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

...

เมื่อถามว่า สังคมมองว่าจะเป็นความขัดแย้งในพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความขัดแย้งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เชื่อว่าประชาชนมองว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปจะมีการตั้งคำถามกับพรรคการเมืองอื่นว่า เหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยยอมรับว่าการเปิดกว้างให้มีการหยั่งเสียงมีความเสี่ยงสำหรับหัวหน้าพรรคของตนในอนาคต แต่ตนไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลง การสร้างระบบจะกลัวความเสี่ยงไม่ได้ ส่วนที่ตนพูดที่จ.สงขลาว่า อายุ 54 ปีแล้ว ไม่เกรงใจใครแล้ว ก็หมายความอย่างที่พูด เพราะทำงานการเมือง 26 ปีด้วยความเชื่อ และอุดมการณ์ พร้อมความฝันว่า อยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร พัฒนาแค่ไหน แต่ระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจโลก และการจลาจล แต่ก็กอบกู้วิกฤติและเริ่มต้นบางอย่าง แต่ตนยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง เมื่ออายุขนาดนี้แล้วการจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริง จึงไม่ต้องลังเลใจ หรือเกรงใจใครอีกต่อไป เพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะผลักดันความฝันให้เป็นจริงได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการ และหล่มทุจริตคอร์รัปชัน แต่ประวัติของตนยืนยันได้ว่า ไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ตัวเอง มีแต่ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ และเป็นความเชื่อจากใจที่สุจริตของตนในการทุ่มเท ทำให้มีความพร้อมที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหา

เมื่อถามว่า มีการวิเคราะห์ว่าเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้อาจเป็นการเปลี่ยนอุดมการณ์พรรคไปด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครเป็นหัวหน้าพรรคคนอื่นว่า มีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่พ.ศ. 2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง "หลังการเลือกตั้งผมเคยบอกแล้วว่าไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่า จะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่าง จากทั้ง คสช.และพรรคเพื่อไทย เราจะเป็นทางหลักของประเทศไทยไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่า ไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร เพราะไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นทางหลักคือ เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา และมีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบหลังการเลือกตั้ง"