เปิดตัวปุ๊บ เป็นเป้าทันที
พลันที่พรรคพลังประชารัฐเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยมี 4 รัฐมนตรีจากรัฐบาล คสช. ได้เข้าไปเป็นผู้บริหาร
นายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรองหัวหน้าพรรค นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค
นอกนั้นมีนักการเมืองจากพรรคอื่นๆ ที่แยกตัวเข้ามาร่วมงานด้วยอีกหลายคน หากมองจากรูปลักษณ์ก็ถือว่ามีโอกาสไปได้ดีพอสมควร
ต้องรู้กันดีว่าพรรคพลังประชารัฐนั้นแม้จะไม่มีตัวบุคคล “สีเขียว” เข้ามาเป็นผู้บริหารพรรค หรือแสดงตัวตนว่าเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง
แต่ก็รู้กันเป็นนัยๆว่า นี่คือพรรคสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังก็รู้ๆกันอยู่ว่าใครเป็นใคร
ดังนั้น พอเปิดตัวก็เลยเจอด่านทดสอบทันควันเหมือนกัน โดยเฉพาะจากพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์
เจาะประเด็นเข้าทำด้วยการไล่ให้ 4 รัฐมนตรีลาออก ไม่ควรทำหน้าที่ต่อไป อ้างเหตุผลว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการต่างกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ถือว่า “ไม่มีธรรมาภิบาล”...เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
ว่าไปแล้วประเด็นนี้ 4 รัฐมนตรีดูเหมือนจะอ่านเกมออกว่ายังไงเสียจะต้องโดนเล่นงานแน่ จึงออกตัวระหว่างเปิดตัวว่า
ขอทำงานไปอีกระยะหนึ่ง แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ทั้ง 4 คน จะแสดงสปิริตด้วยการลาออกพร้อมกัน
นั่นเท่ากับว่าพวกเขารู้ดีว่าควรจะแสดงบทบาทอย่างไร ด้วยการเตรียมวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะทำยังไงต่อไป
ปัญหาสำคัญก็คือ 4 รัฐมนตรีนั้นถือเป็นมือสำคัญในการทำงานด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังเร่งมือเพื่อให้มีผลงานอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ได้รับความนิยมจากประชาชน
...
ประเด็นก็คือหากลาออกตอนนี้ก็จะเกิดปัญหางานที่คั่งค้างอยู่ซึ่งยังไม่สามารถขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายได้
น่าจะวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่ คสช.ประกาศ “ปลดล็อก” สุดซอยแล้วนั่นแหละจะมีการประกาศลาออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน
เช่นกันหากมองในมุมการเมืองแล้ว หาก 4 รัฐมนตรีประกาศลาออกประเด็นโจมตีเรื่องนี้ก็จบลงไปทันที
ทว่าการเมืองในรูปแบบต่อสู้กันอย่างนี้หนีไม่พ้นที่จะมีการโจมตีหาคะแนน หาความชอบธรรมเพื่อเล่นงานคู่แข่งนั้น
เป้าต่อไปและจะหนักมากขึ้นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเลี่ยงไม่พ้น
แม้ระยะหลัง พล.อ.ประยุทธ์จะพยายามไม่ปริปากประเด็นการเมืองด้วยการพยายามทำตัวให้สงบมากขึ้น
นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามต่างรู้กันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์นั้นพร้อมที่จะตอบโต้ทุกดอกเพราะลีลาไม่เบาเหมือนกันแบบว่าทะเลาะไม่เลิก
แต่ก็มี “จุดอ่อน” เรื่องอารมณ์หากฟิวส์ขาดเมื่อใดก็เมื่อนั้น
อยู่ที่ว่าหากตรงเป็นเป้าถูกโจมตีหนักๆเข้าจะสามารถเก็บอารมณ์ได้มากแน่แค่ไหน หากเบรกแตกขึ้นมาก็สุดจะคาดเดาได้
ถือว่าเป็นการพิสูจน์ตัวตนอีกขั้นตอนหนึ่งหลังจากที่ประกาศจะกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัวไปแล้ว
ถือเสียว่าการจะได้อะไรมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทุกอย่างต้องสู้.
“สายล่อฟ้า”