"สุวิทย์" แจงเหตุตัดสินใจลงสนามการเมืองนาม พปชร.หวังดันพรรคเป็นทางเลือกใหม่ สานงานต่อวางรากฐานไว้ ก้าวข้ามขัดแย้ง มั่นใจดันตั้ง ก.อุดมศึกษา สำเร็จอีกไม่กี่เดือนนี้...
เมื่อวันที่ 30 ก.ย.61 นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Dr.Suvit Maesincee "สุวิทย์ เมษินทรีย์กับอีกก้าวสำคัญ บนเส้นทางใหม่ทางการเมือง" ถึงเหตุผลการตัดสินใจเล่นการเมืองหลังเข้ารับตำแหน่งว่าที่รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยได้เล่าถึงประวัติการเรียน ประวัติการทำงานและการทำงานในทางการเมืองว่า หลายท่านคงทราบข่าวการเข้ารับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค "พลังประชารัฐ" ของตนทางสื่อต่างๆ กันมาบ้างแล้ว ขอใช้พื้นที่บนเพจส่วนตัวให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจเดินสู่เส้นทางการเมือง
อย่างที่ท่านทราบกันตนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เรียนรู้และมีประสบการณ์ทางธุรกิจ ได้เห็นภาพใหญ่ในเชิงมหภาคที่จะวางนโยบายเพื่อรองรับและขับเคลื่อนงานต่างๆ สำหรับเส้นทางทางการเมืองของผมในยุคแรกนั้นเริ่มต้นเมื่อปี 2546 หรือประมาณ 14 ปี มาแล้ว ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบหมายงานให้รับผิดชอบในหลายๆ เรื่องแต่เรื่องที่ผมภาคภูมิใจมากที่สุดคือการบริหารจัดการงานกับหลายภาคส่วนเพื่อปั้นและขับเคลื่อนโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือ OTOP ซึ่งเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้
หลังรัฐประหารโดย คสช. ผมได้รับเกียรติเข้ามาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และออกแบบอนาคตประเทศไทย ช่วงนั้นเองที่ผมได้มีแนวคิดในการร่างนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ และปรับย้ายเป็นรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยรับงานสำคัญคือ เลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) และปัจจุบันได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนผลักดันนโยบาย Thailand 4.0 ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
ตนมีโอกาสได้ทำงานการเมืองในหลายช่วงเวลา แต่ละยุคสมัยมีบริบทและปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันมาก มีรัฐบาลในหลายรูปแบบแต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาในหลายเรื่องที่สำคัญของประเทศได้ และนอกจากการแก้ปัญหาแล้วยังมีอีกเรื่องซึ่งผมให้ความสำคัญมากที่สุด คือ การวางพื้นฐานในการพัฒนาคนให้พร้อมไปกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะให้พร้อมกับอนาคตข้างหน้าที่จะต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงจากหลากหลายมิติและปัจจัย ในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น มีนโยบาย "วิทย์สร้างคน" เพื่อพัฒนาคนทุกช่วงวัยด้วยวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่สำคัญที่เราจะปลูกฝังให้พวกเขาเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
...
อีกภารกิจที่สำคัญของตนที่ยังต้องขับเคลื่อนให้สำเร็จคือ การจัดตั้งกระทรวงใหม่ ซึ่งจะควบรวมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ากับการอุดมศึกษาและสภาวิจัยแห่งชาติซึ่งกระทรวงใหม่นี้ ตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์สองเรื่อง คือ 1) เป็นกระทรวงที่เตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่ 21 และ 2) เป็นกระทรวงหลักในการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจสังคมไปสู่ฐานนวัตกรรม ซึ่งมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทรวงนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบถึงประสบการณ์การทำงาน ความหวังและความตั้งใจที่ตนได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคการเมือง เพื่อมีโอกาสได้สานต่อในสิ่งที่ตนได้ช่วยวางรากฐานเอาไว้ และอยากที่จะขับเคลื่อนต่อให้สำเร็จ การพัฒนาประเทศไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ ต้องอาศัยเวลาและการร่วมแรง ร่วมใจ กันทั้งรัฐบาลและประชาชน ความสามัคคีของคนในชาติ ประชาชนต้องกล้าเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อโลกเปลี่ยนไทยต้องปรับตัวให้ทัน
"ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นทางเลือกใหม่ของคนไทยทุกคน ที่ก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผมขอบพระคุณทุกท่านที่สนับสนุนและให้กำลังใจผมในงานทุกอย่างที่ผมทำนะครับ กำลังใจเหล่านี้เป็นพลังสำคัญให้ผมมีแรงใจและพละกำลังในการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติของพวกเราทุกคนต่อไป".