กนช.อนุมัติ ปรับแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เป็นแผนแม่บทสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สั่งเดินหน้าเร่งรัดตามยุทธศาสตร์ให้เป็นตามเป้าหมาย ไฟเขียว 11 โครงการขนาดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนโครงการพระราชดำริ
วันที่ 14 ก.ย. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 3/2561 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีการประชุมวาระสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ โดยภายหลังการประชุม พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธาน กนช. ได้เปิดเผยว่า 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดการบริหารจัดการน้ำ โดยปรับวิธีการทำงานให้ทุกหน่วยงานมาบูรณาการร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อน ขับเคลื่อนผ่าน 3 เสาหลัก คือ กฎหมาย เช่น ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช.ในวาระ 2 และ 3 ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ จัดตั้งองค์กลางเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กนช. และ สทนช. รวมไปถึงแผนบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเริ่มเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการสำคัญกว่า 300 โครงการ ตามแผนระยาว ปี 2557-2569 เพื่อลดผลกระทบด้านน้ำแก่ประชาชน ดังนั้นฝากให้รัฐบาลชุดต่อไปสานต่อแผนบริหารจัดการน้ำ เพื่อไม่ให้งานสะดุด รวมทั้งเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ด้าน นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กนช. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินโครงการแบ่งเป็น 6 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดหาน้ำอุปโภคบริโภค ระยะแรกได้จัดหาน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่หมู่บ้านที่ไม่มีระบบประปา ในพื้นที่หาน้ำยาก และขาดแคลนน้ำไปแล้ว 7,291 หมู่บ้าน เจาะบาดาลแล้ว 3,073 บ่อ นอกจากนี้ยังขยายเขตประปาเมืองได้อีก 78 แห่ง / ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต มีโครงการสำคัญ คือ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ เป็นต้น / และที่สำคัญคือยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย โดยมีผลการดำเนินงานที่ผ่านมา คือการปรับปรุงทางน้ำเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ 291 กิโลเมตร สามารถป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองได้ 69 แห่ง ปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำในพื้นที่ภาคใต้แล้วเสร็จ 91 แห่ง อยู่ระหว่างด้าเนินการอีก 20 แห่ง ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการคุณภาพน้ำ มีผลดำเนินการด้านการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบน้ำเสีย 58 แห่ง คุณภาพแหล่งน้ำอยู่ในระดับพอใช้ 29 แห่ง ยุทธศาสตร์ที่ 5 การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน มีพื้นที่ป่าได้รับการฟื้นฟูแล้ว 0.49 ล้านไร่ / ยุทธศาสตร์ที่ 6 การบริหารจัดการ เป้าหมายเพื่อให้การบริหารจัดการลุ่มน้ำอย่างสมดุล
...
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ขยายแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจาก 12 ปี เป็น 20 ปี ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และปรับชื่อใหม่เป็นแผนแม่บท ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายใหม่เพิ่มเติมรายยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนา/ขยายเขตระบบประปา เพิ่มประสิทธิภาพประปาครบทุกหมู่บ้าน ยุทธศาสตร์ที่ 2 เพิ่มผลิตภาพการใช้น้ำ และเพิ่มน้ำต้นทุนโดยปฏิบัติการฝนหลวง ยุทธศาสตร์ที่ 3 บรรเทาอุทกภัยระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบทุกลุ่มน้ำ ป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ชุมชนเมือง 764 แห่ง พื้นที่รับประโยชน์ 1.7 ล้านไร่ ยุทธศาสตร์ที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสีย 105 แห่ง ยุทธศาสตร์ที่ 5 การป้องกันและลดการ ชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ต้นน้ำ 0.45 ล้านไร่ และยุทธศาสตร์ที่ 6 การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนเจรจาความร่วมมือด้านน้ำกับต่างประเทศ โดยกำหนดเสนอร่างแผนในเดือนตุลาคมและจะได้น้าเสนอ กนช. พิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงการดำเนินโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ มูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) ในปี 2562 ที่พร้อมดำเนินการ มีทั้งสิ้น 11 โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 73,679 ล้านบาท โดย 4 โครงการได้ผ่านการพิจารณาของ กนช.แล้ว คือ โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เลย โครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง จ.หนองคาย โครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี จ.ชัยภูมิ และโครงการบรรเทาอุทกภัย เมืองชัยภูมิ (ระยะที่ 1) คงเหลือที่จะเสนอเพิ่มเติมอีก 7 โครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และมีความพร้อมที่จะดำเนินการ เช่น โครงการอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองแสนแสบ
นอกจากนั้น สทนช.ได้จัดลำดับความสำคัญในการพิจารณาแผนงานงบประมาณโครงการพระราชดำริที่มีความพร้อมเป็นลำดับแรก ซึ่งสามารถจัดกลุ่มแนวทางการขับเคลื่อนโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการและยังไม่ได้ด้าเนินการ ประกอบด้วย 1.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จำนวน 78 โครงการ 2.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 จ้านวน 22 โครงการ และ 3.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 62 โครงการ โดยจะต้องจัดทำแผนการพัฒนาโครงการพระราชดำริทั้งหมดเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ขนะนี้พายุดีเปรสชัน "บารีจัต" ได้สลายตัวแล้ว แต่ยังเหลือไต้ฝุ่น "มังคุด" ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกหนักในทุกพื้นที่ของประเทศไทย จนถึงวันที่ 19 กันยายนนี้ จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งและดินโคลนถล่ม ซึ่งศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ฝนเพื่อปรับแผนการระบายน้ำ เพื่อป้องกันระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจนท่วมบ้านเรือนประชาชน.