“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” นโยบายพลังงานต้องเข้ากับทิศทางโลก เย้ย 4 ปี ไม่มีผลงานด้านพลังงาน เร่ง ตรวจทุจริต และแก้ไขการผูกขาด เสนอ ทักษิโณมิกส์ ด้านพลังงาน เชื่อ ช่วยประชาชนลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
วันที่ 12 ก.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานสัมมนานโยบายสาธารณะด้านพลังงาน จัดโดยสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่า นโยบายพลังงานต้องสอดคล้องกับทิศทางของโลกที่มุ่งสู่พลังงานไฟฟ้า และผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนที่เป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังแสงอาทิตย์ พลังลม ฯลฯ และมีราคาต้นทุนการผลิตลดลงเรื่อยๆ ซึ่งทำให้การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล จะลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่หลายประเทศเริ่มจะเลิกการผลิตกันแล้ว การที่พลเอกประยุทธ์ เคยออกมาตำหนิตนว่า ไม่ได้ทำอะไรตอนเป็น รมว. พลังงาน ทั้งๆ ที่ตนทำหลายเรื่อง เช่น ยกเลิกเบนซิน 91 ทำให้มีการใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศมากขึ้น ลดราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ งดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราวเพื่อช่วยลดภาระประชาชน ออกบัตรเครดิตพลังงานช่วยผู้ประกอบการ ฯลฯ
นายพิชัย กล่าวต่อว่า แต่ตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลนี้กลับไม่ได้มีผลงานทางพลังงานอะไรเลย มีแต่ความสับสน โดยล่าสุด ยังมีแนวทางสวนกับทิศทางโลก ทั้งเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และการไม่รับซื้อพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น อีกทั้งอยากให้รัฐบาลแก้ไขข้อครหาการทุจริตในเรื่องพลังงาน เช่น เรื่องล่าสุดคือ เรื่องโรงไฟฟ้าขยะของกระทรวงมหาดไทย และการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานผิดประเภท และเรื่องก่อนหน้านี้ เช่น การซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย และข้อครหาการออกใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยเรียกรับผลประโยชน์ และ อยากให้ลดการผูกขาดของปตท. ในธุรกิจพลังงาน และยังออกมาทำธุรกิจอื่นแข่งกับเอกชน เช่น ธุรกิจร้านกาแฟนอกปั๊ม ธุรกิจโรงแรมในปั๊ม และร่วมประมูลรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น
...
ส่วนเรื่องการซื้อหุ้น บริษัทโกลว์ นั้น แม้ว่า ปตท. อาจจะต้องมุ่งสู่ธุรกิจไฟฟ้ามากขึ้น แต่ยังข้องใจเรื่อง การผูกขาดการผลิตไอน้ำจากความร้อน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแล้ว ยังมีเรื่องราคาที่ซื้อซึ่งสูงกว่าราคาที่เหมาะสมมาก อีกทั้ง บริษัท โกลว์ มีการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในสัดส่วนที่สูง ซึ่งไม่น่าจะใช่ทิศทางการผลิตไฟฟ้าอนาคตของโลก และของ ปตท.ด้วย จึงอยากให้พิจารณาให้ดี โดยอยากทวงรัฐบาลเรื่องลดราคาน้ำมันที่ตนเคยเสนอไว้ เพราะผู้ประกอบการยอมลดราคาค่าการตลาดที่ตนเสนอและควรจะลดตั้งนานแล้ว ดังนั้น ราคาเอทานอลและราคาหน้าโรงกลั่นที่ไม่รวมค่าขนส่งจากสิงคโปร์ก็ควรจะลดลงมาได้ ใช่หรือไม่ อีกทั้งควรพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่เก็บอยู่สูงมากถึงลิตรละ 5.80 บาท ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบากกันอย่างมาก
"โดยขอให้มั่นใจว่า นโยบายทักษิโณมิกส์ทางเศรษฐกิจ ที่จะออกมาช่วงเลือกตั้งจะเป็นแนวทางพลังงานที่ถูกต้องของประเทศนี้ และยังจะช่วยประชาชน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสทางด้านพลังงาน อีกทั้ง ส่งเสริมธุรกิจพลังงานให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ไม่ใช่มาเอาเปรียบคนในประเทศเหมือนในปัจจุบัน ทั้งนี้ การแก้ไขไม่ให้มีการผูกขาดจะเป็นนโยบายหลักเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนจำนวนมากได้พัฒนาก้าวขึ้นมาได้" นายพิชัย กล่าว.