แฉมี ‘ตกเขียว’ กกต.เต้นสอบ
อดีต ส.ส.โคราชยันมีขบวนการตกเขียว สมาชิกพรรคจริง “โกศล” แฉจ่ายรายหัว 100-200 บาท ตั้งเป้าอำเภอละ 10,000- 20,000 ใบ คุยมีทั้งพยานบุคคล-เอกสาร จี้ กกต.สอบเอาผิด “ชัยเกษม” เชื่อมีเกมตุกติกอีก ลูกเขย “ทักษิณ” มาแรงซาวเสียงชิงธงนำ พท.ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมทีม บริหาร อดีต ส.ส.ไม่เกี่ยงใครเป็นผู้นำก็ได้ ปชป.บ่ยั่นบอกสู้ได้ทุกรูปแบบ “องอาจ” เตือน คสช.ระวังศรย้อนเข้าตัว “ตือ” เย้ยแผนล้างนายทุนท่าดีทีเหลว เลขา กกต.เด้งสอบซื้อเสียงล่วงหน้าที่โคราช สั่ง กกต.จ.แบ่งเขตเลือกตั้ง เชื่อเข้มข้นแน่ “วัชระ” แสบเปรียบ สนช.แค่ผ้าเช็ดท็อปบูต ผ่านงบฯ 3 ลล.ตามใจ คสช.
หลังบรรดาพรรคการเมืองพาเหรดถล่มคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คลายล็อกแบบมีเงื่อนไข อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองแนวร่วมรัฐบาล คสช. ขณะที่พรรค เพื่อไทยเริ่มออกมาปูดข้อมูลพื้นที่ จ.นครราชสีมา เริ่มมีการตกเขียวกว้านเก็บบัตรประชาชนไปทำบัตรสมาชิกพรรคนั้น
อดีต ส.ส.ยันมีขบวนการตกเขียว
เมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายโกศล ปัทมะ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุมีขบวนการเก็บบัตรประชาชนของอาสา สมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จ.นครราชสีมา ไปดำเนินการทำบัตรสมาชิกพรรคการเมืองเครือข่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความจริง ได้รับแจ้งจาก อสม.ที่อยากให้มีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แจ้งข้อมูลให้ทราบว่ามีทีมผู้ที่คาดว่าจะลงสมัคร ส.ส.บางพรรค ไปติดต่อประธาน อสม.ตำบล แต่ละพื้นที่ให้ไปรวบรวมบัตรประชาชนของ อสม. และชาวบ้านในพื้นที่ นำไปทำบัตรสมาชิกพรรคการเมือง โดยมีการแจ้งด้วยว่าจะให้ค่าตอบแทนอสม.และชาวบ้าน รายละ 100-200 บาท ตั้งเป้าให้ได้สมาชิกพรรคอำเภอละ 10,000-20,000 ใบ ยืนยันว่าไม่ใช่การเรียกเก็บบัตรประชาชนไปทำบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยของรัฐ แต่นำไปทำบัตรสมาชิกพรรค เพื่อนำไปโชว์เป็นผลงานให้พรรคเห็น จะได้พิจารณาตำแหน่งทางการเมืองให้
...
มีทั้งพยานบุคคล–เอกสารชัด
นายโกศลกล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการซื้อเสียงล่วงหน้า อยากให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้ามาตรวจสอบ เพราะเป็นการทุจริตเลือกตั้งชัดเจน การสมัครสมาชิกพรรค ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ผู้ที่ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคต้องมาสมัครด้วยตัวเอง โดยเสียค่าธรรมเนียมรายปี ไม่ใช่มากว้านเก็บบัตรประชาชนชาวบ้านเช่นนี้ ขณะนี้กำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ หากยังไม่หยุดดำเนินการจะแถลงเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะมีพยานบุคคลและเอกสารพิสูจน์เป็นหลักฐาน ทราบว่าขณะนี้มีผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส. พรรคอื่นๆ กำลังรวบรวมหลักฐานการทุจริตเรื่องนี้เช่นกัน และเร็วๆนี้จะนำหลักฐานไปยื่นต่อ กกต.ให้มาตรวจสอบ

“ชัยเกษม” เชื่อมีเกมตุกติกอีก
นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเด็นการคลายล็อกไพรมารีโหวตให้พรรคการเมืองตั้งคณะกรรมการสรรหา 11 คน ไปรับฟังความเห็นชาวบ้าน คัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ถามว่าชอบไหมต้องบอกว่าไม่ชอบ ตั้งแต่ให้ทำไพรมารีโหวตแล้ว ออกอะไรมาก็ไม่ชอบ ดังนั้นอยากทำอะไรก็ทำไป หรือจะให้ทำไพรมารีโหวตแบบเต็มรูปแบบพรรคใหญ่ก็ไม่เกี่ยง คงเสียเวลาเปล่า เพราะเวลาเลือกตั้งประชาชนรู้อยู่แล้วจะเลือกใคร สังคมไทยในท้องถิ่นรู้จักหมดถ้าไม่เลือกก็จบ เรื่องนี้สะท้อนว่าคนออกกฎหมายไม่คิดให้ดีก่อน พอต้องแก้ก็บอกว่าไม่ดี ไม่เป็นธรรม จะเลิกทำไพรมารีโหวตเลยก็ไม่ได้ ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่าทุกเรื่องต้องมาคอยใช้มาตรา 44 แก้ไข เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีอะไรตุกติกออกมาอีก หรือดีไม่ดีอาจยืดเลือกตั้งออกไปอีกก็ได้ เอาเป็นว่าอย่าไปซีเรียสคิดว่าดูหนังดูละคร อยากทำอะไรก็ทำ ขอแค่เลือกตั้งจบในเวลาที่กำหนดเป็นพอ
งดไพรมารีโหวตเอื้อพวกพ้อง
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การคลายล็อกให้ทำไพรมารีโหวตนั้น ดูแล้วไม่ต่างจากการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ในอดีต สุดท้ายแล้วอำนาจการสรรหาผู้สมัครหนีไม่พ้นขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้พิจารณาอยู่ดี เพียงแต่เพิ่มขั้นตอนเล็กน้อยให้ไปฟังความเห็นจากประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมเท่านั้น ที่บอกว่าจะปฏิรูปการเมืองสุดท้ายก็ใช้รูปแบบคล้ายแนวทางเดิมๆ ดูแล้วเจตนาการแก้ไพรมารีโหวตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคใหม่ที่เป็นเครือข่ายพวกพ้องตัวเองมากกว่า เพราะพรรคใหม่ต้องประสบปัญหาเรื่องการคัดเลือกผู้สมัครที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องหาสมาชิกแต่ละเขตเลือกตั้งให้ได้เขตละ 100 คน เป็นเรื่องลำบากของพรรคใหม่ที่ทำได้ยาก อาจยังไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ผิดกับพรรคเก่าที่ไม่มีปัญหา จึงเชื่อว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคใหม่ที่เป็นพวกพ้องมากกว่า
เขย “ทักษิณ” มาแรงชิงธงนำ พท.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า หลังคสช.เตรียมคลายล็อกทางการเมือง ช่วงเดือน ก.ย. เพื่อให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้บางส่วนนั้น พรรคเพื่อไทยเตรียมเรียกสมาชิกพรรค อดีต ส.ส.จัดประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ขณะนี้มีแนวโน้มจะปรับภาพลักษณ์และผู้นำพรรคใหม่ นอกจากฐานเสียงเดิมในภาคเหนือ ภาคอีสานแล้ว ยังเตรียมเจาะฐานเสียงกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยชูภาพลักษณ์ผู้นำพรรคที่ดีควบคู่กับนโยบายที่ตอบโจทย์ไปพร้อมกัน โดยรายชื่อคนรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะจะมาเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทยที่มีการเล็งไว้ คือนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีนางพินทองทา ชินวัตร หรือเอม บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันนายณัฐพงศ์เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีคุณสมบัติตามที่นายทักษิณและแกนนำพรรคต้องการ นอกจากนี้นายทักษิณเคยสอบถามอดีต ส.ส.ที่เดินทางไปหาถึงต่างประเทศว่าอยากได้คนหนุ่มหรือผู้อาวุโสมานำพรรค ซึ่งอดีต ส.ส.ระบุว่าแล้วแต่พรรค จะเป็นใครก็ได้ ขอให้มีหัวหน้าพรรคเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง

ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมทีมบริหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หากได้นายณัฐพงศ์มานำพรรคจริง คงมีการปรับภาพลักษณ์ใหม่หลายอย่าง เช่น คณะทำงานคณะกรรมการบริหารพรรคจะนำคนรุ่นใหม่ วัยไม่ถึง 50 ปี มาช่วยทำงานให้สอดคล้องกัน ไม่มีช่องว่างระหว่างวัยเป็นอุปสรรค อดีต ส.ส.ที่อยู่ในข่ายที่จะถูกดึงมาช่วยงาน อาทิ ว่าที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พาณิชย์ อดีต ส.ส.ขอนแก่น น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม. เป็นต้น นอกจากนี้ หากมีการผลักดันนายณัฐพงศ์ขึ้นมาจะช่วยลดความขัดแย้งภายในที่อดีต ส.ส. ไม่ให้การยอมรับแกนนำบางรายที่เป็นแคนดิเดตมาทำหน้าที่ผู้นำพรรค
ลูกพรรคไม่เกี่ยงใครเป็นผู้นำ
นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ว่า ยังไม่มีการพูดถึงผู้นำพรรคคนใหม่ แต่คนเป็นผู้นำพรรคต้องเป็นคนที่ต่อสู้ตามแนวทางประชาธิปไตย เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนมา มีความรู้รอบด้าน ถ้าเก่งเศรษฐกิจได้ยิ่งดี ตอนนี้มีรายชื่อ 4-5 คนเป็นแคนดิเดตจากสื่อ แต่จะเป็นใครคงแล้วแต่ที่ประชุมพรรคโหวตเลือก เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวนายณัฐพงศ์ ลูกเขยนายทักษิณ โผล่มาร่วมเป็นแคนดิเดตด้วย นายสมคิดตอบว่า ไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับที่ประชุมพรรคจะเลือกใคร ไม่ว่าเป็นใครเชื่อว่าสมาชิกจะเคารพกติกาไม่มีปัญหา พรรคเลือกใครมาสมาชิกก็ยังกลมเกลียวเหนียวแน่นเหมือนเดิม ไม่แตกแยก

ปชป.บ่ยั่นไพรมารีได้ทุกรูปแบบ
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำไพรมารีโหวตจะทำรูปแบบไหนก็ได้ ไม่มีอะไรขัดข้อง ไม่เกี่ยงว่า ต้องเป็นแบบใหม่หรือแบบเก่า เพราะไพรมารีโหวตคือการให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมทางการเมืองในการพิจารณาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคประชาธิปัตย์เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมมานานหลายสิบปีแล้วโดยที่ไม่มีกฎหมายบังคับ สมาชิกพรรคสามารถเสนอชื่อบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในที่ประชุมสาขาพรรค จากนั้นสาขาพรรคจะส่งรายชื่อมาให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย พรรคให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสมาชิก มาตลอด แม้กฎหมายพรรคการเมืองไม่กำหนดให้สมาชิกพรรคต้องเลือกหัวหน้าพรรคโดยตรง แต่การเลือกหัวหน้าพรรคครั้งใหม่ที่จะมีขึ้น เรากำหนดให้มีการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคโดยตรงจากสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ด้วยวิธีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาอำนวยความสะดวก จะช่วยทำให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมทางการเมืองได้เต็มที่
เตือน คสช.ระวังศรย้อนเข้าตัว
นายองอาจกล่าวอีกว่า ถ้า คสช.และรัฐบาลคำนึงถึงการปฏิรูปการเมือง และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายได้ ก็ไม่น่ามีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ แต่เมื่อคนบางคนใน คสช.และรัฐบาลจะสืบสานปณิธานการสืบทอดอำนาจต่อไป เลยต้องใช้ อำนาจที่มีอยู่มาออกคำสั่งแก้ไขกฎหมาย จนทุกอย่าง ไม่เป็นธรรมชาติ การปรับ-เปลี่ยน-เพิ่ม-ลดกฎเกณฑ์กติกาทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ฝากถึงผู้มีอำนาจคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจมีคำสั่งอะไรออกมา เพราะถ้าเป็นคำสั่งที่ก่อให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ เอารัดเอาเปรียบมากเกินไป อาจกลายเป็นบูมเมอแรงมาทิ่มแทงผู้มีอำนาจให้เสียหายได้เอง ทางที่ดีที่สุดคือทำตรงไปตรงมา ให้ประเทศเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด
“นิพิฏฐ์” แซะไม่หวังให้ปลดล็อก
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ลงเฟซบุ๊กระบุว่า ตอนนี้มีคนถาม กันเยอะว่าปลดล็อกหรือคลายล็อก เพื่อเดินสู่การเลือกตั้ง สำหรับตนจะเรียกว่าปลดหรือคลายก็ได้ ขอให้พรรคการเมืองสามารถเตรียมการเลือกตั้งได้ก็พอแล้ว ไม่เรียกร้องถึงขนาดต้องปราศรัย หรือจัดชุมนุมแต่อย่างใด เรื่องปราศรัยเอาไว้ตอนมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งแล้วก็น่าจะเพียงพอ การชุมนุมทางการเมือง หรือปราศรัย คนเขาจะเบื่อเอา ประชาชนเขากลัวความวุ่นวายที่อาจมีคนฉวยโอกาสให้เกิดขึ้น เดินสายกลางดีกว่า อย่าสุดขั้ว ส่วนพรรคการเมือง กลุ่มการเมืองไหนที่ทำกิจกรรมเอาเปรียบพรรคอื่น คิดว่าประชาชนเขารู้และดูอยู่

“ตือ” เย้ยล้างนายทุนท่าดีทีเหลว
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การคลายล็อกให้ทำไพร– มารีโหวตรูปแบบของ คสช. ทำให้เห็นว่าความตั้งใจที่จะปฏิรูปการเมือง สุดท้ายกลับไปสู่วังวนเดิมคือ ระบบนายทุนพรรคเป็นผู้เลือก ทั้งที่ตอนเขียนรัฐธรรมนูญ เขียน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ดูสวยสด ความจริงถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองคงไม่มีสภาพเช่นนี้ ปล่อยให้พรรคการเมืองทำงานอิสระไม่ห่วงเงื่อนเวลา ทุกอย่างก็งดงามตามที่ปรารถนา ได้เห็นแนวทางปฏิรูป แต่การกำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหา 11 คนไปตามแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาค แล้วเอากลับมาให้กรรมการบริหารพรรคพิจารณา หนีไม่พ้นระบบนายทุนเช่นเดิม เท่ากับเสียเวลาไปเปล่าๆ กลายเป็นการแก้ไขปัญหาความผิดพลาดของตัวเอง ไม่ใช่แก้ปัญหาของพรรค การเมือง แต่ช่วยเหลือพรรคใหม่มากกว่า ส่วนจะส่งผลเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่พรรคการเมืองปักธงเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ.2562 แล้ว
พลังชลร่วมยินดีพรรค “วันนอร์”
นายสุระ เตชะทัต โฆษกพรรคพลังชล กล่าวถึงการตั้งพรรคประชาชาติ ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นหัวหน้าพรรค ว่า ขอแสดงความยินดีกับการตั้งพรรคใหม่ ร่วมสร้างสรรค์ในระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและประชาชน ทำให้ประชาชนมีหลายทางเลือก พรรคประชาชาติเท่าที่ดูผู้ดำเนินกิจกรรมถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์การเมือง ส่วนจะเป็นพันธมิตรทางการเมืองกันหรือไม่นั้น เป็นเรื่องอนาคต ยังตอบไม่ได้ เช่นเดียวกับพรรคพลังชลที่หลายฝ่ายมองว่าจะไปเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคโน้นพรรคนี้ ก็เป็นเรื่องของอนาคตเช่นกัน คงต้องรอให้ปลดล็อกการเมืองก่อน เพราะการจะร่วมงานกันต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ตอนนี้คงยังตอบไม่ได้
สั่ง กกต.จว.แบ่งเขตเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฏฐ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการ กกต. ได้ลงนามหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 30 ส.ค. แจ้งไปยัง ผอ.การเลือกตั้งประจำจังหวัดทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมความพร้อมในการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต เนื่องจากสำนักทะเบียนกลางประกาศจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2561 และสำนักงานฯได้คำนวณจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 83 มาตรา 85 และมาตรา 86 ขอให้ตรวจสอบ จำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งที่เคยส่งให้สำนักงานฯ ให้เป็นไปตามประกาศสำนักทะเบียนกลาง และถ้ามีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งไม่ใกล้เคียงกัน ให้ปรับพื้นที่เขตเลือกตั้งให้มีจำนวนราษฎรของแต่ละเขตเลือกตั้งใกล้เคียงกัน แต่ต้องมีพื้นที่ของแต่ละเขตเลือกตั้งติดต่อกันด้วย ในกรณีจำเป็นต้องใช้จำนวนราษฎรเป็นรายตำบล ให้ประสานขอข้อมูล จากสำนักงานทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่น

จาก 375 เหลือ 350 เข้มข้นแน่
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า จำเป็นต้องแจ้งให้ทางจังหวัดเตรียมไว้ เพราะกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาดำเนินการ เมื่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือประกอบกับมีประกาศจาก คสช. ให้ กกต.แบ่งเขตเลือกตั้งได้ เราต้องมีระเบียบว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งเนื้อหาของระเบียบต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของผู้สมัคร พรรคการเมือง และประชาชน เพื่อนำความเห็นที่ได้ไปเสนอที่ประชุมกรรมการ กกต.ชี้ขาด ต้องอัปเดตจำนวนประชากร ประกอบกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปรับเขตเลือกตั้งจาก 375 เขตเหลือ 350 เขต จำนวนเขตที่ลดลง 25 เขต เวลารับฟังความคิดเห็นน่าจะเข้มข้นพอสมควร
เด้งสอบซื้อเสียงล่วงหน้าที่โคราช
พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีสมาชิกพรรคเพื่อไทยระบุว่าอาจมีการซื้อเสียงล่วงหน้าในพื้นที่ จ.นครราชสีมา นั้น ได้ให้ ผอ.กกต.จังหวัดเข้าไปตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว ถ้าพบว่ากระทำผิดจะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง ส่วนที่มีความเป็นห่วงว่าจะไม่ได้รับความ เป็นธรรมในการหาเสียงผ่านทางโซเชียลนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามแนวคิดไม่ถึงกับเรียกว่าควบคุม หลักการที่คุยกันเบื้องต้นคือการกำหนดให้ผู้สมัครแจ้งให้ กกต.ทราบว่าจะใช้ช่องทางหาเสียงกี่ช่องทาง รวมทั้งแนวทางที่จะลบข้อความออกจากโซเชียลมีเดีย กรณีการใส่ร้ายป้ายสีไม่เป็นความจริง สำนักงานฯจะนัดหารือครั้งต่อไปประมาณสัปดาห์หน้าจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทางอิเล็กทรอนิกส์
ให้ดูพฤษภาทมิฬเป็นบทเรียน
นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เตรียมประกาศจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนในเดือน ก.ย. ว่า พล.อ.ประยุทธ์บริหารบ้านเมืองกว่า 4 ปี ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมืออย่างดี บัดนี้ คสช.มีแนวโน้มจะเปลี่ยนสภาพตัวเองจากกรรมการมาเป็นผู้เล่นเสียเอง ทั้งที่ประชาชนเตือนมาตลอดว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ ไม่สมควรทำ หากดูจากประวัติศาสตร์การเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทุกคนยังรังเกียจ จึงเป็นห่วงไม่อยากให้เกิดซ้ำรอยอีก คงต้องถามรัฐบาล คสช.ว่า หากกรรมการลงมาเล่นเองจะทำให้การแข่งขันเป็นธรรมได้อย่างไร ผลที่ออกมาจะไม่ได้รับการยอมรับ กลายเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งใหม่ไม่รู้จบ คณะกรรมการญาติพฤษภาคม 35 เป็นผู้เจ็บปวดจากการสูญเสีย จึงขอเอาตัวอย่างเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเตือนสติ คสช. ให้ทบทวนและกลับมาทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง อย่าสืบทอดอำนาจที่จะเป็นเหตุนำพาความเศร้าเสียใจกลับมาอีกครั้ง

สามตัวเต็งชิงเลขาฯกฤษฎีกา
วันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอชื่อเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาคนใหม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แทนนายดิสทัต โหตระกิตย์ ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย. ว่า ไม่กล้าตอบว่าจะนำรายชื่อคนใหม่เข้าสู่ที่ประชุม ครม.เมื่อใด แต่กระบวนการควรจะเร็ว เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้ว ต้องส่งรายชื่อไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้รับรอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแคนดิเดตพบว่า ปัจจุบัน น.ส.จารุวรรณ เฮงตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกามีอาวุโสที่สุด รองลงมาคือ นายวรรณชัย บุญบำรุง โดยทั้งคู่เหลืออายุราชการอีกปีเดียว ส่วนนายวรรณชัยถือว่าได้รับการแต่งตั้งหลายตำแหน่งสำคัญ อาทิ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และยังมีนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่ ครม.เคยแต่งตั้งให้มาเป็นรองเลขาธิการ ครม. แต่นายปกรณ์ยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี
ลุยพลังงานทดแทนไทยยั่งยืน
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน กล่าวถึงการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมยั่งยืน ในส่วนของกระทรวงพลังงาน ว่า จากการลงพื้นที่ระดมสมองกับประชาชน พบว่าโครงการระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง ที่จะสูบน้ำจากบ่อบาดาลโดยใช้เครื่องสูบน้ำพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ได้รับการตอบรับมากที่สุด ช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการจัดหาน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืช อย่างกระเทียม หัวหอม สามารถสร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยกลุ่มเกษตรกรต้องรวมกลุ่มเกิน 7 ครอบครัว มีพื้นที่ทำเกษตรไม่ต่ำกว่า 5 ไร่ และมีน้ำบาดาล ตั้งเป้าหมายติดตั้งระบบให้ได้ 5,000 จุดทั่วประเทศภายในปีนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร 35,000 ครัวเรือน ให้มีความมั่นคงในการดำเนินชีวิต
ตั้งทีมสอบประวัติ 7 ว่าที่ กสม.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 6 ก.ย. มีวาระพิจารณาเรื่องสำคัญคือ ให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) จำนวน 7 คน ตามที่คณะกรรมการสรรหา กสม.เสนอชื่อมา ซึ่งที่ประชุม สนช.จะแต่งตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น กสม.ทั้ง 7 คน มาตรวจสอบประวัติให้ เสร็จภายใน 60 วัน ก่อนลงมติต่อไป โดยผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็น กสม. 7 คน ประกอบด้วย นางสมศรี หาญอนันทสุข นายไพโรจน์ พรหมเพชร นายจตุรงค์ บุณรัตนสุนทร นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช นางประไพพร กาญจนรินทร์ และนายสุรพงษ์ กองจันทึก ถูกตั้งข้อสังเกตว่า 4 ใน 7 คนนี้มาจากภาคเอ็นจีโอ

ซัดตั้งงบฯ 3 ลล.ตามใจ คสช.
อีกเรื่อง นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามที่ สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 วงเงินกว่า 3 ล้านล้านบาท โดยใช้เวลาพิจารณาเพียง 3 ชั่วโมงว่า ถ้าประชาชนทั้งประเทศพึงพอใจ และต้องการให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน โดยไม่มีการตรวจสอบ เราก็ไม่อาจทัดทานความต้องการประชาชนได้ แต่เท่าที่ฟังเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชนต่างรู้สึกอึดอัด และต้องการให้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณนี้ว่า เป็นไปเพื่อประชาชนทั้งประเทศ หรือเพียงเพื่อหมู่คณะของ คสช.เท่านั้น งบประมาณ 3 ล้านล้านบาท สูงที่สุดนับแต่มีประเทศไทย และข่าวคราวการคอร์รัปชันก็มากที่สุดนับแต่มีรัฐบาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 สะท้อนให้เห็นถึงการจัดงบประมาณตามใจผู้มีอำนาจใน คสช.ทั้งสิ้น
เปรียบ สนช.แค่ผ้าเช็ดท็อปบูต
นายวัชระกล่าวว่า แม้ คสช.จะยิ่งใหญ่ มีอำนาจสูงสุดมากกว่าอำนาจบริหาร ตุลาการและนิติ บัญญัติก็ตาม แต่อำนาจท่านก็เหมือนยาทั่วไปที่ต้องมีวันหมดอายุ เมื่อหมดอำนาจระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนนายทักษิณ ชินวัตร ส่วน สนช.ที่ไม่กล้าอภิปรายตัดงบประมาณแม้แต่บาทเดียวนั้น เพราะล้วนเป็นลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ คสช.แต่งตั้งมาทั้งสิ้น ใครจะกล้าตัดงบของเจ้านายผู้มีพระคุณ หากพูดไม่เข้าหู หรือนั่งหลับในที่ประชุม อาจอดเป็น ส.ว.แต่งตั้ง สมัยหน้าได้ สนช.จึงไม่ใช่เพียงแค่สภาตรายาง หรือสภาฝักถั่วเท่านั้น สนช.ปัจจุบันจึงไม่แตกต่างอะไรกับผ้าเช็ดท็อปบูตให้แวววาว ดูอร่ามงามสะอาดตา
โพลชี้ปลดล็อกกลัวขัดแย้ง
วันเดียวกันสวนดุสิตโพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,033 คน คิด อย่างไรกับ “ปลดล็อก” “คลายล็อก” ทางการเมือง ปรากฏว่าร้อยละ 48.96 วิตกกังวลว่าหากมีการปลดล็อก อาจเกิดความขัดแย้ง บ้านเมืองวุ่นวาย รองลงมาคือกลุ่มต่างๆออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วง ส่วนเรื่องที่ควรคลายล็อก ร้อยละ 41.57 ระบุว่า การกำหนดนโยบายหาเสียงที่ชัดเจน รองลงมาคือเรื่องการคัดเลือกผู้ที่จะลงสมัครเลือกตั้ง การเลือกหัวหน้าพรรค การกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน แบ่งเขตเลือกตั้ง ส่วนเรื่องที่ยังไม่ควรคลายล็อกมากที่สุดคือ การให้อภิปรายหาเสียงในที่สาธารณะขนาดใหญ่ เมื่อถามว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันคิดว่ารัฐบาลควรดำเนินการอย่างไร ร้อยละ 46.33 ระบุว่าควรปลดล็อกให้ดำเนินการโดยอิสระ มีร้อยละ 35.26 ที่เห็นว่าควรคลายล็อก

คนอยากรู้เลือกตั้งเมื่อไหร่แน่
ด้านสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจเรื่องอะไรที่คนไทยอยากรู้ จากจำนวน 1,129 ตัวอย่าง ปรากฏว่าสิ่งที่ประชาชนอยากรู้มากที่สุดคือ จะเลือกตั้งเมื่อไหร่แน่ รองลงมาคือเมื่อไหร่จะปลดล็อก ใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ชีวิตประชาชนจะเป็นอย่างไร ประชาชนได้อะไรจากงบหลายล้านล้านบาท นักการเมืองไม่ดีจะเข็ดหลาบจำ หรือไม่ ใครจะจัดการพวกนี้ได้จริง จะเผาบ้านเผาเมือง กันอีกหรือไม่ นักการเมืองจะดีขึ้นจริงหรือ แต่ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าเลือกตั้งแล้วน่าจะมีอะไรดีขึ้น และเห็นว่านับจากนี้ไปความร้อนแรงทางการเมืองจะเพิ่มขึ้น