เส้นทางใหม่ เพื่อการศึกษา

องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งได้วิจัยการศึกษาของไทยพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนเด็กด้อยโอกาสจากความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเฉลี่ยจังหวัดละ 7 หมื่นคน

คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี

เพราะความสัมพันธ์ระหว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้นมีความสัมพันธ์กับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัดชายขอบประสบปัญหาคุณภาพการสอน

เหตุมาจากการขาดบุคลากรครูไม่เพียงพอ

แต่ก็เป็นที่น่ายินดี เมื่อนายสรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้พัฒนา “อินสครู” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์แบ่งปันเคล็ดลับการสอนสำหรับครูทั่วประเทศ

เขาบอกว่า ปัจจุบันมีครูอยู่ 20% ที่มีประสบการณ์สอนและให้ความสำคัญกับการเตรียมการสอนอย่างมีคุณภาพ ครูเหล่านี้มักเป็นครูรุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว มีอายุราว 23-25 ปี

แต่มีปัญหาเกี่ยวกับเทคนิคการสอนที่คิดค้นกันขึ้นมา ยังขาดช่องทางในการนำไปแบ่งปันสู่ครูที่สอนเรื่องเดียวกันในโรงเรียนอื่น

อีกทั้งยังมีครูในต่างจังหวัดที่มีความต้องการแผนการสอนที่มีคุณภาพ รวมถึงไอเดียการสื่อสารต่างๆที่จะช่วยให้นำไปต่อยอดในการสอนในห้องเรียนได้ดีขึ้น

นี่คือการนำมาซึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแบ่งปันไอเดียและแผนการสอน

ถือเป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาที่เปิดให้ครูทั่วประเทศจำนวนมากกว่า 5 แสนคน สามารถแบ่งปันแผนการสอน สื่อการสอนชีตแบบฝึกหัด

เทคนิคการสอนต่างๆ เปิดมุมมองการสอนและขยายไอเดียดีๆสู่ห้องเรียนทั่วประเทศ โดยครูผู้ใช้สามารถให้เรตติ้ง คอมเมนต์และคำติชมเพื่อต่อยอดไอเดียและให้กำลังใจผู้แบ่งปัน

เพื่อให้เด็กไทย 10 ล้านกว่าคนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันผ่านครูของพวกเขาเอง

...

“ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีคุณครูที่มีไอเดียดีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ไอเดียที่ดีในมุมหนึ่งของประเทศสามารถส่งต่อไปให้ครูอีกมุมหนึ่งของประเทศที่มีบริบทเดียวกันสร้างห้องเรียนที่มีคุณภาพมากขึ้นได้

ผมหวังว่าอินสครูจะทำให้วันหนึ่งเด็กไทยกว่า 10 ล้านคน จะได้สัมผัสห้องเรียนคุณภาพจากครูของพวกเขาเอง”

นี่แหละ คือสิ่งที่จะต้องช่วยกันให้โครงการนี้เดินหน้าไปได้ด้วย

ที่สำคัญก็คือ รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ อย่าไปยุ่งกับเขาก็แล้วกัน

หากมองภาพโดยข้อเท็จจริงแล้วถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาคุณภาพครูอย่างตรงจุดตรงประเด็นที่สุด เพราะสามารถกำหนดวิธีการสอน เทคนิคการสอน การนำเทคโนโลยีมาใช้ การกลั่นกรองแนวคิดด้วยประสบการณ์และแนวคิดใหม่ๆ

สำคัญยิ่งก็คือ สามารถผ่านต่อไปถึงครูทั่วประเทศได้ โดยไม่มีความจำเป็นจะต้องนัดหมายมาประชุม สัมมนาให้เสียเวลาและงบประมาณ

เป็นการเข้าถึง “ครู” ได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปศึกษา เรียนรู้ จะทำให้พวกเขาได้พัฒนาตัวเองด้วยความกระตือรือร้นล้นมากกว่าเดิม

คล้ายๆกับว่าเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น

หากต่อยอดต่อไปหลังจากบรรดาครูที่ได้เรียนรู้จากแพลตฟอร์มนี้แล้วจะสามารถประเมินผลได้จากการเรียนการสอนว่าจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน

ความจริงเรื่องง่ายๆนี้ รัฐบาลควรจะคิดออกมานานแล้ว แต่โน่นไปคิดไปทำให้มันใหญ่มันโตด้วยการปฏิรูประบบการศึกษาแต่ยังคลำไม่เจอต้นตอปัญหาสักที

ผมว่า “อินสครู” นี่แหละคือ “จานด่วน” ที่จะแก้ปัญหาการศึกษาได้จริงๆ.

“สายล่อฟ้า”