อยู่ๆ ก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมาทันที เมื่อเฟซบุ๊ก BBC ไทย เสนอข่าว กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พ้นที่ปรึกษาคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ คตช.ชุดใหม่ คตช.ไม่เกี่ยวปมสอบแหวน นาฬิกาหรู แต่เป็นการแบ่งงานให้คนอื่นรับผิดชอบ พร้อมกับถามสื่อว่า ทำไมไม่ตั้งข้อสังเกตกับนายต่อตระกูล ยมนาค อนุกรรมการใน คตช. ซึ่งเป็นคนทำหนังสือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปลดพลเอกประวิตรออกจากการเป็นที่ปรึกษา คตช. และยังทำหน้าที่เดิมอยู่ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ตนเองไม่ได้ปรับโครงสร้างใหม่เพื่อเหตุผลเหล่านี้ จึงขอให้เข้าใจและอย่าหาเรื่อง
ด้าน นายต่อตระกูล ยมนาค อนุกรรมการใน คตช. กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ควรจะจบ เป็นเรื่องเก่า อย่าไปขุดคุ้ยเลย การเสนอเรื่องนี้ ทำเป็นจดหมายจากหน่วยงานเสนอเป็นการภายใน ก็เป็นไปตามที่ท่านนายกฯ บอกการถอดชื่อพล.อ.ประวิตรออก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ท่านนายกฯต้องการพูดบอกว่า "ทำไมไม่ตั้งข้อสังเกตกับ นายต่อตระกูล ยมนาค อนุกรรมการใน คตช. ซึ่งเป็นคนทำหนังสือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ปลด พลเอกประวิตร ออกจากการเป็นที่ปรึกษา คตช.และยังทำหน้าที่เดิม ทำไมยังอยู่ได้ ดังนั้นขอให้เรื่องจบ
...
อย่างไรก็ตาม มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่สื่อทั้งไทยและต่างประเทศมาสนใจในข่าวนี้ นั่นเพราะที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ก็เปิดช่องให้ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีเอง แม้ว่าจะไม่ตั้งใจก็ตาม แต่มันก็เป็นปมใหญ่ที่ทิ่มแทงใส่รัฐบาล 'บิ๊กตู่' จนซวนเซไปช่วงหนึ่งทีเดียว
ส่วนที่นายกฯ ออกมาแก้ต่างว่า เป็นการลดงานของ พล.อ.ประวิตร ลง เพราะท่านเองก็มีชื่อเป็นคณะกรรมการ 50 กว่าคณะ เพื่อให้ พล.อ.ประวิตร จะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากนั้น ถ้าถามตามภาษาชาวบ้าน การลดงาน พล.อ.ประวิตร ลงก็คงเป็นสิ่งที่ดี เพราะท่านมีงานมากจริงๆ ประกอบกับบางครั้งท่านก็มีปัญหาสุขภาพ แต่การลดงานเฉพาะไม่ให้เป็นเฉพาะคณะกรรมการชุดนี้นั้น ก็เลยเป็นที่มาของการตั้งข้อสังเกตจากสื่อมวลชนว่า จงใจเกินไปหรือไม่ ที่จะรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะคณะกรรมการ คตช.มีหน้าที่สำคัญคือขจัดและป้องกันการทุจริตระหว่างหน่วยงาน แต่ในฐานะสื่อมวลชน นั่นมันก็เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งเท่านั้น
เรื่องจริงมันอาจไม่มีอะไรเลยแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามบอกก็เป็นได้ ต้องการลดงานของบิ๊กป้อมลง เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานจะได้ดีขึ้น.