ยันทำตามขั้นตอน ‘บิ๊กตู่’ ซึ้งใจหัวโขน ถอด-ก็เหมือนกัน ‘อิทธิพร’ ปธ.กกต.

สถานทูตไทยฯจี้อังกฤษ ส่งตัว “ยิ่งลักษณ์” กลับมาดำเนินคดีอาญา ในไทย “บิ๊กตู่” ยันบัวแก้วทำตามขั้นตอน “ดอน” ปัดไม่ใช่วาระพิเศษ “มันมาตามขั้นตอนของมัน” “ประยุทธ์” ยกสัจธรรมอำนาจแค่หัวโขน เมิน “นคร มาฉิม” แฉขบวนการล้มอดีตรัฐบาลตระกูลชินวัตร ขอปิดปากอีกรอบ ปชป.มอบทีมกฎหมายฟ้องหมิ่นฯ พ่วง พ.ร.บ.คอมฯ “จุติ” ยอมรับคิดดึงกลับพรรคจริง สะพัด “หญิงหน่อย” ส่อชวดนั่งผู้นำเพื่อไทย เหตุคนในต้าน-ไม่เหมาะสถานการณ์ ชื่อ “จาตุรนต์” มาแรง “อิทธิพร บุญประคอง” แซงทางโค้งคว้าเก้าอี้ ปธ.กกต.เผยจุดเด่นอายุน้อย แถมดีกรีอดีตทูตหลายประเทศ

ควันหลงหลังงานเลี้ยงฉลองในโอกาสวันคล้ายวันเกิดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครบ 69 ปี พ่นพิษใส่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เมื่อสถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักร ส่งจดหมายถึงกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร ขอให้ส่งตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย

ไทยจี้อังกฤษขอตัว “ยิ่งลักษณ์”

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักข่าวบีบีซีไทย ได้เผยแพร่ข้อมูลว่าสถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักร ได้ส่งจดหมายลงวันที่ 5 ก.ค. ไปที่กระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร ขอให้ส่งตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย โดยจดหมายได้อ้างถึงสนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ว่าด้วยการส่งตัวอาชญากรผู้หลบหนีคดีกลับไปรับโทษในประเทศไทย พร้อมระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นบุคคลที่ทางการไทยต้องการนำตัวมารับโทษจำคุก 5 ปี ภายหลังคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่ามีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และออกหมายจับตั้งแต่มีคำตัดสิน (คดีรับจำนำข้าว) หากรัฐบาลอังกฤษเห็นว่าความผิดที่กล่าวถึงข้างต้นไม่อยู่ในบัญชีการกระทำความผิดของบุคคลอันเป็นการให้ส่งตัวให้ประเทศต้นทางดำเนินคดีได้ การส่งตัวกลับ อาจกระทำได้ภายใต้ความเห็นชอบของประเทศนั้น หากการกระทำความผิดทางอาญานั้นเป็นความผิดภายใต้กฎหมายของทั้ง 2 ประเทศคู่สัญญา ในกรณีนี้รัฐบาลไทยขอให้คำมั่นว่าจะร่วมมือและตอบแทนอย่างเต็มที่หากได้รับการร้องขอทำนองเดียวกันจากรัฐบาลอังกฤษ

...

“บิ๊กตู่” ยันบัวแก้วทำตามขั้นตอน

วันเดียวกันเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการทำตามขั้นตอนโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อัยการสูงสุด (อสส.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) มีหน้าที่ส่งเรื่องขอตัว แต่การไปจับกุมใครในต่างประเทศเราจับเองไม่ได้ เป็นเรื่องของประเทศนั้นๆ ฉะนั้นถ้าเขายังไม่ตอบเอกสารมาอย่างเป็นทางการ มันก็จับไม่ได้ นั่นคือข้อเท็จจริง เหมือนเราที่มีกฎหมายของเราเอง ประเทศอื่นเขาก็ทำแบบนี้ ตราบใดที่รัฐบาลทำครบหลักเกณฑ์กฎหมายแล้ว จะได้ตัวหรือไม่ก็เป็นเรื่องของต่างประเทศที่จะพิจารณาตัดสินใจว่าจะส่งหรือไม่ส่ง มีอยู่หลายคดีที่เราดำเนินคดีในประเทศไทย และตนไม่จำเป็นต้องไปหารือกับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพราะเป็นเรื่องกลไกของรัฐโดยกระทรวงการต่างประเทศเขาดำเนินการอยู่

“ดอน” ปัดไม่ใช่วาระพิเศษ

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นการดำเนินการตามขั้นตอน สื่อควรไปสอบถามจากคนที่รู้เรื่อง เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด เห็นแต่ข่าว เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้รายงานเรื่องดังกล่าวมา นายดอนตอบว่า ไม่ต้องรายงาน เพราะเขาทำตามขั้นตอนปกติไม่ใช่เรื่องนโยบาย และเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับการเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรของนายกฯ เมื่อถามย้ำว่าการขอตัวเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานรัฐมนตรี หรือ นายดอนตอบว่า “จำไม่ได้ว่าเรื่องนี้เคยผ่านเข้ามา ยังสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าเรื่องนี้เคยผ่านมาทางเราหรือไม่ เพราะเหมือนไม่เคยเห็น เพราะมันมาตามขั้นตอนของมัน และทราบว่าเรื่องนี้เป็นการทำตามขั้นตอน คงมีการเดินเรื่องเพราะต้องมาจากทางตำรวจ อัยการ”

บ่นคนจ้องจับผิดกลุ่มทุนใหญ่

ช่วงเช้าวันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุม ครม. พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำคณะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ระหว่างวันที่ 3-5 ส.ค. ที่ฮอลล์ 5-8 ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี ต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ นำนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชนและคณะ เข้าพบเพื่อนำเสนอผลงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยนายฐาปนได้นำชมนิทรรศการต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตรผ่านกลไกประชารัฐ ถ้าไม่ทำให้กลไกเข้มแข็งก็ไม่สามารถเดินหน้าไปได้ มีหลายบริษัทที่มาทำงานร่วมกับรัฐบาล เวลาทำประโยชน์แก่ประเทศไม่มีใครสนใจ ยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กัน นี่คือระบบของเศรษฐกิจ ที่สื่อวิจารณ์ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น

ยกสัจธรรมอำนาจคือหัวโขน

จากนั้นนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำคณะจากศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าพบนายกฯเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ 2561 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 “อัคราภิรักษศิลปิน” ระหว่างวันที่ 3-5 ส.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยนายกฯได้ยกหัวโขนเสนายักษ์ขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า ทุกอย่างมันหัวโขนทั้งนั้น พอถอดออกก็เหมือนกันทุกคน อยู่ที่ความดีใส่หัวอะไรก็ออกมาดี ทุกคนอยากเป็นใหญ่ อยากมีอำนาจ เป็นนายกฯไม่ใช่ว่ามีอำนาจสูงสุด ไม่ใช่เป็นใหญ่แล้วทำอะไรได้ทุกอย่าง ที่เหนือทุกอย่างคือความรับผิดชอบ จิตสำนึก และกฎหมาย แย่งกันอยู่ได้อำนาจบ้าบอคอแตก อำนาจจริงๆเป็นของประชาชน ถ้าอยากมีอำนาจต้องทำงานและทำให้ถูกให้ดี

เมิน “นคร” แฉขบวนสมคบคิด

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวภายหลังการประชุม ครม. ถึงกรณีนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กแฉขบวนการสมคบคิดล้มล้างรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า ไม่อยากจะตอบ เพราะไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ใครพูดใครโพสต์อะไรไปว่ากันเอง เขาพูดอะไรก็ไปฟังกันเอง บางอย่างไม่เป็นประโยชน์อย่าไปสนใจมันก็จบ แต่บางคนเอาไปว่ากันไปมา ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีอยู่ ได้พูดไว้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นนายกฯหรือใคร ไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจสูงสุด ทั้งหมดคือการแบกความรับผิดชอบ แบกจิตสำนึกที่ต้องทำงานเพื่อประชาชน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหัวโขนที่พวกเราสวมไว้ในการเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาล เมื่อเราถอดหัวโขนออกเมื่อไหร่ก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง

มาอีกขอปิดปากตอบโต้การเมือง

“เรื่องนี้ก็ฝากเตือนฝ่ายการเมืองด้วย ช่วงนี้ผมจะไม่ตอบโต้ทางการเมืองกับใครทั้งสิ้น ที่เหลือจะเป็นเรื่องของการทำงานแก้ไขปัญหาประเทศชาติ และเรื่องนี้คิดว่าสามารถขอความร่วมมือจากสื่อได้ ทั้งในการเขียนวิพากษ์วิจารณ์หรือเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับผมมาถามผม มันก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง เพราะถ้าผมเผลอตอบไป หรืออาจไม่ตั้งใจตอบ หรือตอบในลักษณะที่อาจหงุดหงิดไปบ้าง มันก็เป็นการเปิดประเด็นมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราต้องเรียนรู้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ทั้งคนถามและคนตอบ ขอฝากสื่อไว้ด้วยแล้วกัน” นายกฯกล่าว

รุกตั้งตลาดกลางประชารัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวอีกว่า ได้ให้แนวทางในที่ประชุม ครม.ไปช่วยคิดว่าเราจะขยายตลาดประชารัฐ หรือตลาดชุมชนได้อย่างไร ให้เป็นตลาดกลางสำหรับพืชผลการเกษตร อยากให้เป็นลักษณะตลาดกลางในจังหวัด หรืออำเภอ ต้องตั้งกลไกขึ้นมาบริหาร โดยเกษตรกรที่ไม่มีพื้นที่ทำกินไม่มีรายได้จากการเพาะปลูก สามารถมาค้าขายตรงนี้ได้ จะได้เกิดวงจรการขนส่ง เป็นการเพิ่มช่องทางการค้าขายให้กับเกษตรกรด้วย และที่ประชุม ครม.ยังพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ในการผ่อนชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ด้วย

“บิ๊กป้อม” บอกยังแข็งแรงดี

ส่วนท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่เกิดอาการป่วยจากอาหารเป็นพิษ ขณะลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ พล.อ.ประวิตรเดินทางมาประชุม ครม. โดยมาถึงทำเนียบรัฐบาลเมื่อเวลา 08.30 น. ถือว่าช้ากว่าทุกครั้ง เพราะปกติ พล.อ.ประวิตรจะเดินทางไปถึงตั้งแต่เวลาประมาณ 07.00 น. เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามทักทายและสอบถามอาการ พล.อ.ประวิตรไม่ได้หันมาตอบ โดยสังเกตได้ว่ายังมีสีหน้าอ่อนเพลียอิดโรย เดินก้าวขึ้นบันไดช้าๆ โดยมีทหารคนสนิทคอยประกบอย่างระมัดระวัง จากนั้นภายหลังประชุม ครม. พล.อ.ประวิตรกล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียง สั้นๆว่า “แข็งแรง แข็งแรง” และเดินขึ้นรถกลับไปทันที

ปชป.จ่อฟ้องหมิ่น “นคร มาฉิม”

วันเดียวกันเวลา 14.45 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานการประชุมร่วมกับทีมกฎหมายพรรค เพื่อหารือถึงแนวทางการฟ้องร้องนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่โพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงพรรคในลักษณะบิดเบือนทำให้เกิดความเสียหาย โดยใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ที่ประชุมเห็นว่าหลายคำพูดมีการพาดพิง อาจมีการบิดเบือน จนอาจเกิดความเสียหาย มีแนวทางที่จะดำเนินการ 2 ทาง คือ ฟ้องฐานหมิ่นประมาท และการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยนายอภิสิทธิ์มอบหมายให้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แถลงความชัดเจนอีกครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 1 ส.ค. เวลา 10.00 น. ว่าจะดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาทนาย นครในเบื้องต้น

ตามด้วยความผิด พ.ร.บ.คอมฯ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคได้มอบหมายให้ทีมกฎหมายฟ้องดำเนินคดีกับนายนคร มาฉิม ที่ใส่ร้ายทำให้พรรคเสียหาย ที่นายนครระบุว่ามีหลักฐานพร้อมไปเปิดในชั้นศาลนั้น ขอให้เปิดเผยเลย ทั้งนี้ทีมกฎหมายจะดูความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมจากการฟ้องหมิ่นประมาทด้วย เพราะเป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษรุนแรงกว่าการทำผิดฐานหมิ่นประมาท แต่การทำผิดตามกฎหมายนี้ไม่สามารถฟ้องตรงต่อศาลได้ จึงต้องแจ้งความเพื่อเอาผิดต่อไป

“จุติ” รับคิดดึงกลับพรรคจริง

ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามที่นายนคร มาฉิม ระบุว่าเมื่อ 6-7 เดือนที่แล้ว ได้เอ่ยชักชวนให้กลับพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นเรื่องจริง เคยชวนนายนครกลับมาเข้าพรรคเมื่อ 2 ปีกว่ามาแล้ว ชวนทุกปี แต่นายนครขอคิดดูก่อน สาเหตุที่ชวนเพราะนายนครเป็นเจ้าของพื้นที่ และเป็นคนตั้งสาขาพรรคมาเอง จึงได้ให้สาขาไปชวนกลับมาอีก แต่นายนครก็ไม่กลับมา ดังนั้น ทางสาขาและคนในพื้นที่จึงมีมติเลือกหลานของนายนคร คือนายคณิศร มาดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก มาลงสมัครรับเลือกตั้งแทน ที่นายนครออกมาเคลื่อนไหว ไม่คิดว่าจะทำให้พรรคเสียคะแนน เพราะคนพิษณุโลกตัดสินใจเองได้ และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

“หน่อย” ส่อชวดนั่งผู้นำเพื่อไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า หลังอึมครึมอยู่นานว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ จากกระแสข่าวหลายคนถูกวางตัวเป็นแคนดิเดต อาทิ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายโภคิน พลกุล รวมถึงนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นต้น ท่ามกลางกระแสการดูดอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน ล่าสุดในงานวันเกิดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประเทศอังกฤษ ที่มีบรรดาแกนนำพรรคหลายคนเดินทางไปร่วมงาน ได้ถือโอกาสพูดคุยถึงตำแหน่งผู้นำพรรคค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าคุณหญิงสุดารัตน์จะไม่ได้เป็นคนถือธงนำพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีกระแสต่อต้านจากคนในพรรค และจากสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ประเมินแล้วว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่เหมาะ โดยชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาคือนายจาตุรนต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ และต้องจับตาดูท่าทีคุณหญิงสุดารัตน์ว่าจะอยู่พรรคเพื่อไทยต่อ หรือจะออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่

“มีชัย” ลั่นจำเป็นต้องเลือกปธ.กกต.

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีนายเจษฎ์ โทณะวณิก ที่ปรึกษา กรธ. ทักท้วงกระบวนการเลือกตำแหน่งประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยว่าที่ กกต. 5 คนอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ควรรอให้มี กกต.ครบทั้ง 7 คนก่อน ว่า ได้คุยกับนายเจษฎ์แล้ว ยืนยันว่าไม่ได้พูดแบบนั้น พูดเพียงว่า 5 คนก็สามารถเลือกประธานฯได้ แต่ถ้าครบ 7 คนแล้วค่อยเลือกจะดีกว่า ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกรรมการการเลือกตั้ง เขียนไว้แล้วมี กกต. 5 คนก็เลือกตำแหน่งประธานได้ไม่มีปัญหา ตอนนี้ต้องเดินไปข้างหน้าจำเป็นต้องเลือก รอไม่ได้ เพราะจะเลือกตั้งกันอยู่แล้ว จะรอกันสัก 2 ปีให้สรรหาจนครบ 7 คนแล้วค่อยเลือกประธาน รอกันไหวหรือ และไม่ใช่การตัดโอกาส กกต.ที่เหลืออีก 2 คน และ กกต. 5 คนมีความสง่างามและชอบด้วยกฎหมาย ตำแหน่งประธานกำหนดชัดให้เป็นรวดเดียว เพื่อไม่ให้มาตกลงผลัดกันเป็น หากใครออกจากตำแหน่งประธานต้องพ้นตำแหน่ง กกต.ด้วย

สนช.มั่นใจไร้ปัญหาร้องเรียน

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. แถลงภายหลังการประชุมวิป สนช.ว่า ที่ประชุมได้เชิญนายอุดม รัฐอมฤต กรธ. มาให้ความเห็นเกี่ยวกับการเลือกประธาน กกต. กรธ.ยืนยันว่าตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.กำหนดให้จำนวน กกต.ที่มีอยู่ขณะนี้ 5 คนสามารถเลือกประธาน กกต.ได้ โดยไม่ต้องรอให้มีครบทั้ง 7 คน โดยยกรัฐธรรมนูญมาตรา 206 และมาตรา 217 ที่อ้างอิงถึงหลักเกณฑ์การเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำมาใช้โดยอนุโลมกับการเลือกประธาน กกต.ได้ ถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.การเลือกประธาน กกต.ครั้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถือเป็นตำแหน่งสำคัญจะมาทำหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้ง

“อิทธิพร” แซงโค้งคว้าเก้าอี้

จากนั้นเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมว่าที่ กกต.จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ นายอิทธิพร บุญประคอง นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายปกรณ์ มหรรณพ เพื่อคัดเลือกกันเองให้เป็นประธาน กกต. ตามรัฐธรรมนูญ โดยผู้ที่จะได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมให้เป็นประธาน กกต. ต้องได้รับคะแนนเห็นชอบ 3 เสียงขึ้นไป ทั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอชื่อนายอิทธิพร บุญประคอง เป็นประธาน กกต. และได้รับความเห็นชอบจากว่าที่กกต.ด้วยคะแนนเสียงข้างมากภายในการลงมติเลือกเพียงครั้งเดียว ทำให้นายอิทธิพรได้เป็นว่าที่ประธาน กกต.คนใหม่ โดยภายหลังการลงมตินายอิทธิพรปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยระบุเพียงสั้นๆว่าขอให้ข่าวภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธาน กกต.แล้ว ด้านนายธวัชชัย เทอด-เผ่าไทย ว่าที่ กกต.กล่าวว่า เมื่อที่ประชุมมีมติเห็นชอบทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น

เด่นที่อายุน้อย-ประสาน ตปท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเหตุผลที่เสียงส่วนใหญ่เลือกนายอิทธิพร เพราะมีอายุเพียง 62 ปี สามารถดำรงตำแหน่งประธาน กกต.จนครบวาระ 7 ปี เมื่อเทียบกับว่าที่ กกต.คนอื่น เช่น นายฉัตรไชย อายุ 65 ปี หรือนายธวัชชัยที่อายุ 66 ปี แคนดิเดตที่ได้รับการคาดหมายจะได้รับเลือกเป็นประธาน กกต.ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ กกต.จนครบ 7 ปีรวดเดียวได้ ต้องพ้นวาระเมื่ออายุครบ 70 ปี นอกจากนี้นายอิทธิพรยังมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ ที่มีความจำเป็นต้องนำไปชี้แจงและประสานงานกับนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งของ ไทย เพราะเคยเป็นอดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ รวมถึงยังมีภาพลักษณ์ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากสังคม นอกจากเคยเป็นเอกอัครราชทูตหลายประเทศแล้ว ยังเคยเป็นทีมงานประเทศไทยในการต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหารต่อศาลโลก เมื่อปี 2553 ด้วย

เผยดีกรีอดีตทูตหลายประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับประวัตินายอิทธิพร บุญประคอง เกิดวันที่ 26 ส.ค.2499 อายุ 62 ปี จบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และปริญญาโทนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย Tulane สหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์เคยเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายปี 2553 และเคยเป็นทีมงานตัวแทนประเทศไทยสู้คดีปราสาทพระวิหารต่อศาลโลก ในปี 2553 เอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ปี 2555 เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทย ประจำองค์การเพื่อการห้ามค้าอาวุธเคมี ปี 2558 และผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทยในการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการสมัครเข้ารับเลือกตั้งของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ปี 2559

เตรียมส่งชื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ

ขณะที่นายนัฑ ผาสุข เลขาธิการสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา กล่าวว่า กระบวนการลงคะแนนเป็นไปโดยการลงคะแนนลับ โดยให้สิทธิ์ว่าที่ กกต.ทุกคนเขียนรายชื่อบุคคลที่จะเลือกลงบนบัตรออกเสียง และไม่จำกัดสิทธิบุคคลที่จะออกเสียงเพื่อเลือกตนเองเป็นประธาน กกต. หลังจากที่รับทราบว่านายอิทธิพรได้รับเลือกเป็นประธาน กกต.แล้ว ว่าที่ กกต.ได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการทำงานร่วมกันจากนี้อีก 7 ปี รวมถึงการจัดการเลือกตั้งที่ต้องรับบทบาทหลังจากนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อรับทราบผลดังกล่าวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำลายบัตรออกเสียง แล้ว สำหรับขั้นตอนต่อไปจะทำหนังสือกราบเรียนถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ในวันที่ 31 ก.ค. เพื่อนำรายชื่อประธาน กกต. และ กกต.ขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป

“ธนาธร” ซัด คสช.หลับตาข้างเดียว

อีกเรื่อง ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก. ปอท.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรค อนาคตใหม่ พร้อมทีมกฎหมายเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน บก.ปอท. หลังถูก คสช.แจ้งความเอาผิดพร้อมพวกอีก 2 คน ขณะไลฟ์สดผ่านเพจ “อนาคตใหม่” และเพจ “Thanathorn juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” พาดพิงคสช.ว่าดูด ส.ส.โดยใช้คดีความที่ติดตัวมาต่อรอง นายธนาธรเปิดเผยว่า ที่ คสช.ออกมาแจ้งความเท่ากับยอมรับว่ากระทำจริง และมองว่าพรรคของตนเป็นศัตรู หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่มี ครม.สัญจร แต่ขณะนี้ ครม.สัญจรเต็มไปหมด ทั้ง จ.บุรีรัมย์ อุบลราชธานี แจกโน่นนี่ให้ประชาชนเต็มไปหมด คิดว่า คสช.กำลังเริ่มกิจกรรมเตรียมเลือกตั้ง ขณะที่พรรคอื่นทำไม่ได้

เลื่อนตรวจคดีป่วนไล่ “มาร์ค”

ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกับพวกรวม 10 คน ฐานกระทำฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯมาตรา 9 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 กรณีชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ระหว่างวันที่ 31 ม.ค.-14 เม.ย.2552 ขณะที่ทนายความ นพ.เหวง โตจิราการ จำเลยที่ 4 แถลงต่อศาลว่า นพ.เหวง เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบรักษาตัวที่ รพ.รามาธิบดี ไม่สามารถมาศาลได้ ขณะที่อัยการโจทก์แถลงยื่นฟ้องนายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงเข้ามาเป็นจำเลยในฐานความผิดเดียวกัน และได้รวมเข้ากับคดีนี้ พร้อมขอนำพยาน 420 ปากเข้าเบิกความ ขณะที่ทนายจำเลยขอสืบพยาน 173 ปาก ศาลอนุญาตให้เลื่อนนัดตรวจหลักฐานเป็นวันที่ 19 พ.ย. เวลา 09.00 น.

“เต้น” ยัน “ตู่” ยังยืนคู่คนเสื้อแดง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวถึงความเป็นเอกภาพของ นปช.ว่า นปช.ยังเป็นเอกภาพในเรื่องอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมือง แต่ใครเดินออกไปแล้วประกาศอยู่ฝ่ายตรงข้าม ถือว่าจบความเป็น นปช.ที่ตรงนั้น นายจตุพรที่ยังอยู่ในเรือนจำได้รับข้อมูลข่าวสารเป็นระยะ เห็นตรงกับท่าทีที่ นปช.แสดงออกในเวลานี้ ไม่จำเป็นต้องเปิดฉากสงครามน้ำลายใส่กัน แต่ใครละทิ้งจุดยืน ประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์จะให้บทเรียนเอง

“บิ๊กตู่” ฮึ่มประมงอย่ามาขู่รัฐบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีสมาคมประมง 22 จังหวัด ขู่หยุดทำการเพื่อประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และจะยื่นถวายฎีกาต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่แก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน ว่า ไม่อยากให้ใช้คำถามนี้ เขาขู่รัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว รัฐบาลมีหน้าที่กำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ต้องทำความเข้าใจกันว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ตนรับเรื่องไว้กำลังพิจารณาอยู่ โดยกรมประมงกำลังดูเรื่องการซื้อเรือคืน ทั้งนี้ แรงงานประมงหายาก มีการจดทะเบียนไปแล้ว และดูว่าแรงงานต่างประเทศจะควบคุมกันอย่างไร ต้องขอเวลา ศูนย์บัญชาการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) คณะทำงานเรื่องไอยูยูกำลังพิจารณาเรื่องนี้เป็นการด่วน

ต้องรอบคอบนำไทยเข้าภาคี

นายกฯยังกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการผลักดันไทย เข้าภาคีตรงนี้กำลังพิจารณา เราต้องเน้นว่าจะดูแลภาคประมงและแรงงานได้อย่างไร เพราะต้องดูแลทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ไม่ใช่ได้แรงงานเข้ามาแต่มีปัญหาเรื่องความมั่นคงตามมา หรือมีปัญหาเรื่องการดูแลสิทธิประโยชน์ ขณะเดียวกันต้องดูเรื่องค้ามนุษย์หรือการลักลอบนำแรงงานเข้ามาในประเทศ ที่วันนี้จดทะเบียนแรงงานได้กว่าล้านคน รัฐบาลไม่ได้ทำไปเอาใจใครโดยไม่นึกถึงคนไทย ต้องคำนึงถึงกฎหมายของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ

ไฟเขียว 468 ล้าน ฟื้นฟูแหล่งน้ำ

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. ว่า ครม.เห็นชอบอนุมัติงบสนับสนุนปรับปรุงแหล่งน้ำประจำปีงบประมาณ 2561 เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพบก กับมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีโครงการที่ต้องปรับปรุงแหล่งน้ำ 47 โครงการ ในพื้นที่ 9 จังหวัด ประกอบด้วย แพร่ พะเยา พิจิตร สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และพัทลุง การประชุม ครม.สัญจรแต่ละครั้งได้รับ การเสนอขอให้ฟื้นฟูและปรับปรุงแหล่งน้ำในหลายพื้นที่ งบประมาณในการดำเนินงาน 468.91 ล้านบาท สำนักงบประมาณเสนอให้ใช้งบกลางปี 2560 ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อคิดเห็นต่อกองทัพบก ให้ประสานงานกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดูแผนงานให้ชัดเจนอีกครั้งว่ามีความทับซ้อนกับโครงการไหนหรือไม่ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกสรุปเข้ากับแผนบริหารจัดการน้ำด้วย

กำชับแต่งตั้ง ขรก.ต้องรอบคอบ

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุม ครม. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายสุธี ทองแย้ม รอง ผวจ.อุดรธานี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้นับตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้นายกฯได้กำชับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูง กระทรวงที่รับผิดชอบต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตรวจว่ามีคดีหรือไม่เพราะเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงกับนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกฯต้องเป็นผู้ลงนามนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ