เปิดวาทะ คนจำไม่ลืม ของ “บิ๊กจิ๋ว” ในวันพบรักครั้งใหม่กับอรทัย สรการ

กลายเป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมาทันที เมื่อ “ลุงจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 ยอมรับ ได้แต่งงานกับสาวใหญ่ ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.อรทัย สรการ ยงใจยุทธ หรืออรทัย เธียรอุทก อายุ 53 ปี บุตรสาวของนายนิพนธ์ สรการ อดีตนายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านสุราษฎร์ธานี และอดีต ส.ว. พร้อมกับปรากฏภาพในโซเชียล เป็นภาพคู่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ วัย 86 ปี กับสาวใหญ่ พร้อมข้อความระบุว่า “ความสุขและบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่/ดูแลใส่ใจ-เป็นกำลังใจให้ท่านอย่างที่สุด” ในลักษณะเป็นการขอแต่งงาน โดยมีบุตรชายคนโตและลูกสะใภ้ของ พล.อ.ชวลิต ร่วมเป็นสักขีพยาน

บิ๊กจิ๋ว ยอมรับว่า แต่งงานกับหญิงคนดังกล่าวจริง เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา และได้อยู่กินร่วมกัน แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรส เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2561 โดยตนได้หย่าขาดกับ คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยาเก่า เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งได้ย้ายออกจากบ้านพักซอยปิ่นประภาคม มาซื้อบ้านใหม่ย่านเกษตร-นวมินทร์ เพื่ออยู่กินกับหญิงคนดังกล่าว ส่วนภาพที่ปรากฏทางโซเชียลนั้นไม่ได้ออกมาจากคนรักของตน แต่น่าจะออกมาจากผู้ไม่หวังดีมากกว่า คนรักใหม่คนนี้มีความใกล้ชิดและดูแลตนมาตลอดช่วงที่สุขภาพไม่แข็งแรง จึงเกิดความใกล้ชิดและรู้ใจกัน เลยตกลงใจอยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา โดยให้เกียรติฝ่ายหญิงและพาออกงานสังคมด้วยตลอด

...

หากจำกันได้ เมื่อประมาณเดือน ส.ค. ปี 2550 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตนายกรัฐมนตรี หรืออีกฉายาที่โด่งดัง ขงเบ้งกองทัพบก ประกาศตัวขอเป็นโซ่ข้อกลางประสานปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย 

และอีก 1 เหตุการณ์ ที่คนไทยยังจำได้ไม่มีวันลืม ของ พล.อ.ชวลิต โดยเฉพาะคนในแวดวงเศรษฐกิจจะนึกย้อนไปถึงช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี พ.ศ.2540 “ต้มยำกุ้ง” โดยก่อนที่จะประกาศลอยตัวค่าเงิน บิ๊กจิ๋ว ได้ออกทีวีและยืนยันหนักแน่น เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.40 ว่า “รัฐบาลมีมาตรการการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อย่าตื่นตระหนกถอนเงินจากสถาบันการเงิน เพราะมีข่าวลือมาตลอดว่าจะล้มจะถูกปิด...จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเงินแน่นอน”

แต่คล้อยหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้ที่ออกมาแถลงประกาศค่าเงินลอยตัวคือ นายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง สุดท้าย นายทนง ได้เปิดเผยทุกอย่าง เบื้องหน้าเบื้องหลังไว้ในหนังสือ โดยเขาบอกว่า เขาตัดสินใจทันทีหลังจากเห็นตัวเลขและเพิ่งมารับงานได้เพียง 1 สัปดาห์ก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต

หลังเกิดเหตุการณ์วิกฤติ พ่อใหญ่จิ๋ว หรือ บิ๊กจิ๋ว ประสบชะตากรรมทางการเมืองครั้งใหญ่ โดยถูกกล่าวหาว่าเป็น “อัลไซเมอร์” ถึงขั้นจะแนะนำให้หมอมาตรวจ แต่สุดท้ายวิกฤติต่างๆ ก็คลี่คลายออกไป

พล.อ.ชวลิต เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองหลังลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก่อตั้งพรรคความหวังใหม่ โดยมีดอกทานตะวัน เป็นสัญลักษณ์โดดเด่น และเป็นพรรคที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในภาคอีสาน

ต่อมาเมื่อพรรคความหวังใหม่ชนะในการเลือกตั้งเมื่อปลายปี พ.ศ. 2539 พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคจึงขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ซึ่งนายกฯ คนนี้ก็มีลีลาการให้สัมภาษณ์ที่นุ่มนวล แทนตัวผู้สื่อข่าวว่า “หนูๆ" พร้อมคำลงท้ายการให้สัมภาษณ์อย่าง “นะจ๊ะ" จนเป็นที่มาของฉายา "จิ๋วหวานเจี๊ยบ"

พล.อ.ชวลิต กลับมาถูกจับตามองอีกครั้ง หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 พล.อ.ชวลิต เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้ที่ขับไล่ทักษิณ และกลุ่มผู้ที่สนับสนุนทักษิณ โดยเรียกบทบาทตัวเองว่า "โซ่ข้อกลาง”

หลังจากออกตัวขอเป็นโซ่ข้อกลาง ก็ถูกสื่อมวลชนจับตามอง และคาดการณ์กันว่า พล.อ.ชวลิต จะเป็น "โซ่ข้อกลาง" ประสานความขัดแย้ง หรือเป็นโซ่ขึ้นสนิมกันแน่ ต่อมาพล.อ.ชวลิต ตัดสินใจอยู่กับพรรคเพื่อไทย จึงถูกถามถึงประเด็นการเป็นโซ่ข้อกลาง พล.อ.ชวลิต ตอบว่า สื่อมวลชนเป็นคนบอกเองว่า โซ่สนิมขึ้นหมดแล้ว ตนเป็นคนเสนอเรื่องโซ่ข้อกลาง เพื่อเป็นทางออกขึ้นมาเอง แต่ทำไม่ไหว จึงต้องเลือกวิธีมาอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดของคู่ขัดแย้ง

"นโยบายของผมในการทำงานการเมืองต้องใช้หลักที่ใช้มาในอดีต คือ วางตัวเป็นกลาง สร้างสันติภาพ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นหรือทฤษฎีดอกไม้หลากสี ให้เห็นว่าคนเรานั้น ต้องอยู่ร่วมกันได้ เหมือนแจกันที่ต้องมีดอกไม้สีต่างๆ ประกอบเพื่อให้สวย พร้อมนำความสามัคคีให้เกิดขึ้น และด้วยทฤษฎีโซ่ข้อกลาง โดยดึงทั้งสองฝ่ายมาร่วมกัน ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้รัฐบาลเฉพาะกาล แต่โซ่ข้อกลางก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดนคนด่าอีกว่าโซ่ขึ้นสนิม" พล.อ.ชวลิต กล่าว

ต่อมา ได้เกิดอีกวาทะจากการให้กำลังใจ “บิ๊กตู่” ในการบริหารประเทศ “ทฤษฎีดอกไม้หลากสี” ที่พล.อ.ชวลิตบอกว่า คนเราต้องอยู่ร่วมกันได้ เหมือนแจกันที่ต้องมีดอกไม้สีต่างๆ ประกอบเพื่อให้สวย พร้อมนำความสามัคคีให้เกิดขึ้น