ผ่าสถานการณ์ “เกมใหม่”ในขั้วขัดแย้งเก่า
วาระแห่งชาติ พลังแห่งความสามัคคีของคนไทยผุดขึ้นโดยอัตโนมัติ
กับปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 ชีวิตเยาวชนและโค้ชทีมฟุตบอล “หมูป่า อะคาเดมี” ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
ภายใต้บรรยากาศแห่งความหวัง การรวมพลัง ลุ้นให้ทุกคนปลอดภัย
โดยเฉพาะพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ทรงติดตามการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเด็กและโค้ชฟุตบอล พระราชทานกำลังใจไปยังครอบครัวผู้ประสบภัย พระราชทานกำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการติดตามค้นหา พร้อมทั้งพระราชทานแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของเจ้าหน้าที่ (ปฏิบัติการค้นหา 13 ชีวิต ถ้ำหลวงเชียงราย)
รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประทานกำลังใจและกำลังทรัพย์ให้ปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 ชีวิต
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้เรียกประชุมสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีที่ลงเครื่องบินกลับจากเยือนประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส
ก่อนเดินทางลงพื้นที่ไปให้กำลังใจครอบครัวผู้ติดอยู่ในถ้ำและติดตามความคืบหน้าในการปฏิบัติการช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่าฯของเจ้าหน้าที่
...
และตั้งแต่ช่วงแรกๆของวันเกิดเหตุ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้เดินทางไปบัญชาการหน้างานด้วยตัวเอง
โดยระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ บิ๊กตำรวจ ฝ่ายพลเรือนมหาดไทย ประชาชนจิตอาสา ระดมสรรพกำลังหน่วยซีลทหารเรือ ทหารหน่วยรบพิเศษทหารบก ตำรวจน้ำ เครื่องบินลำเลียงทหารอากาศ
ลำเลียงอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร เข้าพื้นที่แบบ เต็มอัตรา
ไม่นับผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ ทหารหน่วยกู้ภัยจากกองทัพสหรัฐฯ นักประดาน้ำจากอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการระบายน้ำจากญี่ปุ่น นักสำรวจถ้ำ ที่ประสานเข้าให้ความช่วยเหลือ
ร่วมมือกันแบบสุดกำลัง ทำงานกันแบบนาทีต่อนาที
โดยมีกำลังใจจากคนไทยทั่วประเทศที่เฝ้าติดตามข่าวตลอดเวลา มีการโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียขอให้ทั้ง 13 ชีวิตปลอดภัย รวมถึงการชื่นชมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ศิลปินดารานักร้องร่วมด้วยช่วยกันส่งพลังใจช่วยพาทีมหมูป่าฯกลับบ้าน
สถานการณ์รวมใจเป็นหนึ่ง เพื่อช่วย 13 ชีวิตติดอยู่ในถ้ำ
ตัดฉากกลับมาที่สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังหาทางออกจากถ้ำเขาวงกต คนไทยกว่า 65 ล้านคนหลงอยู่ในวิกฤติความขัดแย้งแตกแยกที่ลากยาวมากว่า 10 ปี
โอกาสได้ลุ้นริบหรี่ๆ เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ล่าสุด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุมร่วมระหว่าง คสช. รัฐบาล คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และตัวแทนพรรคการเมือง
เกี่ยวกับการเตรียมการกำหนดวันเลือกตั้ง
โดยบทสรุปเบื้องต้น เลือกตั้งเร็วสุดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ถัดมาก็ 31 มีนาคม 28 เมษายน หรือช้าสุดคือวันที่ 5 พฤษภาคม โดยยึดเอาวันอาทิตย์สิ้นเดือนเป็นเกณฑ์
เป็นอะไรที่ชัดเจนขึ้นมาอีกระดับ กับโอกาสความชัวร์ที่จะได้เลือกตั้งในปีหน้าแน่ๆ
นั่นก็ทำให้ตัวแทนพรรคการเมืองส่วนใหญ่มีท่าทียอมรับ ไม่นับพรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่แนวร่วมฝ่ายต้านที่ตั้งแง่ไม่สังฆกรรมกับ คสช.
แต่นักเลือกตั้งอาชีพทุกยี่ห้อส่งเสียงตรงกัน ก่อนอื่นขอให้ปลดล็อกกฎเหล็ก ปล่อยพรรค การเมืองดำเนินกิจกรรมได้ เพื่อจะมีเวลาทำไพรมารีโหวตได้ทัน
นักการเมืองคลายแรงกดดัน หลังโชว์ปฏิทินวันหย่อนบัตรแบบเร็วสุดช้าสุด
อีกจุดที่ล้อกับความชัดเจนเรื่องกำหนดวันเลือกตั้ง ก็คือจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางเยือนประเทศอังกฤษ เข้าพบ “เทเรซา เมย์” นายกรัฐมนตรีเมืองผู้ดีที่ลอนดอน ต่อด้วยการเยือนประเทศฝรั่งเศส พบกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ที่ปารีส
“บิ๊กตู่” โกอินเตอร์ โชว์ให้เห็นการยอมรับจากนานาชาติ
พร้อมเดินหน้ายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ดึงนักลงทุนยุโรปให้ความสนใจมาร่วมลงทุนเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และอุตสาหกรรมการบินที่สนามบินอู่ตะเภา
แน่นอน ถ้ามองในมุมเงื่อนไขสถานการณ์กำลังเข้าโหมดเลือกตั้ง จังหวะการโกอินเตอร์เจอกับผู้นำระดับโลกทั้งอังกฤษ-ฝรั่งเศส นั่นก็คือการ “แต่งตัว” ของ พล.อ.ประยุทธ์
เสริมเครดิตมาอยู่ในจุดที่แทบไม่เหลือภาพผู้นำทหาร ไร้แรงเสียดทานจากนานาชาติ
ทีมงาน “นายกฯลุงตู่” พร้อมสำหรับเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว กับสารพัดเมกะโปรเจกต์วางฐานไว้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0
เพื่อความต่อเนื่องไปสู่เป้าหมายในการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่
ขณะเดียวกัน โดยกระบวนการขับเคลื่อนฐานกำลังทางการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ตีตั๋วต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็มีความชัดเจนแบบที่ “หงายไพ่” เล่นกันแล้ว
ตามแนวโน้มสถานการณ์รุกคืบอย่างรวดเร็วของแนวร่วม “สามมิตร”
ถึงจุดที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ได้นัดอดีต ส.ส.กว่า 50 คน รวมตัวที่สนามกอล์ฟดังย่านชานเมืองรังสิต
ประกาศจุดยืนชัดๆพร้อมแล้วที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่ออีก 4 ปี เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศให้มีความต่อเนื่อง
โดยการเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ
พร้อมสวนเสียงวิจารณ์เรื่องดูด ส.ส. บอกเลยว่า ในอดีตสมัยเป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และมีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค ก็เคยทำมาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่พอตนเองมาอยู่จุดตรงนี้ กลับถูกโจมตี แต่ตนเองและคณะจะไม่หวั่นไหว ขอทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป
“สุริยะ” ชักน้ำเสียงแข็งสวนกลับฝั่งคนแดนไกล จากที่หลบสงบนิ่งมาตลอด
อีกทั้งตามแนวโน้มความมั่นใจของอดีตเลขาฯคู่ใจ “ทักษิณ” จะมีอดีต ส.ส.เกรดเอจ่อมาเป็นแพ็กเกจอีกหลายจังหวัด เหมือนทีมของนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีต ส.ส.เลย แกนนำอีสานพรรคเพื่อไทย
โอกาส “นายใหญ่” เลือดไหลอีกเยอะ
และนั่นก็คือคำตอบ ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯทักษิณที่ต้องกลับมาชิงพื้นที่สื่อ ใช้โอกาสวันคล้ายวันเกิดของ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอีเวนต์กระตุกเรตติ้งแรงๆ
ส่งสัญญาณดังๆกลับมาถึงทีมลูกหาบที่เมืองไทย
ประกาศมั่นใจพรรคเพื่อไทยยึดอีสาน ไล่ส่งพวกย้ายพรรคเป็นเชิงขอบคุณคนที่เสียสละอย่างยิ่งที่ได้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นผู้แทนฯ พรรคเพื่อไทย
ไม่นับเกมเขี้ยวตามฟอร์มถนัดในการใช้สื่อต่างประเทศถล่มผู้นำรัฐบาล ตามรูปการณ์ที่คำว่า “สฤษดิ์น้อย” ฝรั่งไม่รู้จัก ต้องเกิดจากคนไทยกระซิบบอกบทให้
“ทักษิณ” เตะตัดขาทุกจังหวะ ไม่ยอมให้ “บิ๊กตู่” ได้เครดิตในเวทีนานาชาติ
“นายใหญ่” จัดหนัก “ดิ้นแรง” สู้ยุทธการตัดทอนกำลัง
ในจังหวะที่แปรผันตามคดีความมากมายนับไม่ถูก แบบที่โดนหมายจับแล้ว 7–8 คดี
ที่น่าหวาดเสียวแทนก็คือปมที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เดินหน้าสอบคลิปอดีตนายกฯทักษิณในวันเกิดน้องสาว เข้าข่ายครอบงำ อาจส่งผลถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย
และก็เป็นอะไรที่พร้อมเข้าสู่แนวรบชิงคะแนนเลือกตั้ง
ตามอาการแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซัดแรงๆกระแทกชิ่งไปถึงอดีตผู้นำสองพี่น้อง อดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ โดยแถลงข่าวภายหลังลงเครื่องบินเลยว่า การไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศสด้วยศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยเอาคนไทยและประเทศไทยไปด้วย
ไม่ไร้เครดิตเหมือนพวกที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ
สถานการณ์มาถึงจุดเผชิญหน้า ไม่ต้องกั๊กคุมเชิง รักษาอาการ
ด้านหนึ่งคือ “ทักษิณ” แชมป์เก่า แต่อีกด้านก็คือ “บิ๊กตู่” ที่กำลังกระโดดขึ้นเวที
มีประเทศไทยเป็นเดิมพัน
ภายใต้โจทย์เกมอำนาจเดิมๆ โจทก์คู่ขัดแย้งเก่าๆ แต่เปลี่ยนเกมเล่นใหม่
ไฟต์บังคับของทหารต้องไม่ทำปฏิวัติเสียของซ้ำซาก ฟาก “ทักษิณ” ก็พร้อมสู้แบบพังเป็นพัง
ถ้า “นายกฯลุงตู่” ชนะในเกมเลือกตั้ง ยี่ห้อพลังประชารัฐมาวิน ก็มีหวังลากเกมยาวถอนรากถอนโคนระบอบ “ทักษิณ”
แต่ตรงกันข้าม ถ้าผลการเลือกตั้งออกมายังเป็นไปตามที่ “ทักษิณ” ประกาศ พรรคเพื่อไทยยึดเสียงข้างมาก ตามกติกา ทหาร คสช.ก็จำต้องยกเกมอำนาจคืนให้ “นายใหญ่”
สุดท้ายอยู่ที่ประชาชนจะตัดสิน ใคร “ได้ของ” หรือ “เสียของ”.
“ทีมการเมือง”