เปิดบัญชีทรัพย์สิน “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” จากรวยเกือบ 900 ล้านบาทก่อนเป็นส.ส. ปี 2554 จบเส้นทางการเมืองปี 2557 เหลือ 347 ล้านบาท ไม่เคยมีรายการโรงน้ำชาในบัญชี จุดพลิกเข้าคุกอีกรอบ
ในระบบฐานข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. นายชูวิทย์ ได้แจ้งข้อมูลทรัพย์สิน และหนี้สิน ในฐานะเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย 3 ครั้ง คือครั้งแรกเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2554 ครั้งที่สองพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2556 และครั้งที่สามพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2557
การยื่นครั้งแรก วันที่ 2 ส.ค.2554 มีทรัพย์สิน 874,651,632 บาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดิน และเงินลงทุน ที่ดินที่อยู่ในชื่อของนายชูวิทย์ มูลค่า 154,286,000 บาท ส่วนเงินลงทุนอยู่ในชื่อของลูก มีมากถึง 633,726,000 บาท สำหรับหนี้สิน 9,723,875 บาท เป็นเงินเบิกเกินบัญชี และเงินกู้ เท่ากับว่านายชูวิทย์มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 864,927,756 บาท
การยื่นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2556 มีทรัพย์สิน 534,968,669 บาท ซึ่งลดลงจากการยื่นเมื่อปี 2554 จำนวน 339,682,963 บาท เพราะที่ดิน และเงินลงทุนลดลง แต่ครั้งนี้มีแจ้งทรัพย์สินอื่นที่เป็นอาวุธปืน 22 รายการที่ได้มาในช่วงปี 2554-2556 มีมูลค่าตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาท ขณะที่หนี้สินลดลงเหลือ 5,865,351 บาท หรือลดลง 3,858,524 บาท เท่ากับครั้งนี้มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 529,103,317 บาท
สำหรับการยื่นครั้งที่สาม เมื่อพ้นจากตำแหน่งส.ส.ครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2557 นั้น มีทรัพย์สินลดลง เหลือ 347,785,714 บาท หรือน้อยกว่าการยื่นครั้งก่อนหน้า 187,182,955 บาท เพราะที่ดินและเงินลงทุนลดลง ส่วนอาวุธปืนยังมีอยู่เช่นเดิม ขณะที่หนี้สินเหลือ 2,229,342 บาท ลดลง 3,636,009 บาท เท่ากับมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 345,556,371 บาท
...
ในการแจ้งทรัพย์สินแต่ละครั้งนั้น ไม่มีรายการใบอนุญาตประกอบกิจการโรงน้ำชา ซินกี่ มูลค่า 150,000 บาท จนกลายเป็นจุดพลิกชีวิตของนายชูวิทย์อีกครั้ง ที่ต้องเดินเข้าไปอยู่ในเรือนจำ 1 เดือน หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกนายชูวิทย์ เป็นเวลา 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินและแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป.ป.ช.
เส้นทางชีวิตนายชูวิทย์นั้น เป็นบุคคลที่ทำธุรกิจมาอย่างหลากหลาย ทั้งนำเข้า และผลิตผ้ายีนส์ อาบอบนวด บ้านจัดสรร โรงแรม มีเส้นทางการเมืองที่มีสีสัน มีภาพจำการเป็นนักแฉ ผ่านสนามการเมืองทั้งการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคการเมืองหลายพรรค แต่ไม่สำเร็จ จนตั้งพรรคตัวเอง และได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในปี 2554 อยู่ในตำแหน่งถึงปี 2556
เมื่อต้นปี 2559 ศาลฎีกาตัดสินจำคุกนายชูวิทย์ 2 ปี คดีรื้อบาร์เบียร์ ที่เกิดเหตุตั้งแต่ปี 2546 โดยไม่รอลงอาญา จากนั้นนายชูวิทย์ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อปลายปี 2559 และต้นปี 2560 ได้เข้ามาอยู่หน้าจอทีวี ในฐานะพิธีกรข่าว รายการตีแสกหน้า ทางไทยรัฐทีวี และรายการชูวิทย์มีเรื่องเล่า ทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ของช่อง 3