"เอนก" โพสต์เฟซฯ แจงอุดมการณ์พรรค รปช. ลั่นไม่ใช่พรรคซ้าย-ขวาสุดโต่ง แต่ขอเดินทางสายกลาง ชูธงปฏิรูป ปัดพรรคโหนเจ้า
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 61 นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์เฟซบุ๊ก "เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas" ถึงอุดมการณ์ของพรรค รปช.ว่า "ขอบคุณมิตรสหายและผู้สนใจจำนวนมาก ที่กรุณาวิเคราะห์และเปรียบเทียบอุดมการณ์ของ รปช. หรือ พรรครวมพลังประชาชาติไทย กับพรรคอื่นๆ สำหรับผมสิ่งที่เป็นหัวใจของพรรคที่มีคุณภาพ คือ อุดมการณ์ ไม่ใช่เพียงแค่นโยบาย อุดมการณ์ต่างกับนโยบาย สำคัญกว่านโยบายเสียอีก"
นายเอนก ระบุต่อว่า "อุดมการณ์ คือ ภาพรวม คือโลกทรรศน์ คือการมองโลก ประเทศ บ้านเมือง และประชาชน อย่างเป็นองค์รวม มองเห็นโอกาส เห็นพลัง เห็นภยันตราย และจุดอ่อน ของสังคม และกำหนดว่า หลักการสำคัญที่จะชี้นำนโยบายด้านต่างๆ ของพรรคคืออะไร เป็นอย่างไร นโยบายที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชนนั้นดีไม่เหมือนกัน แล้วแต่เราใช้อุดมการณ์ไหน ดีแค่ไหน กว้างและไกลลึกซึ้งแค่ไหนมามอง และมากำหนด"
นายเอนก ระบุต่อว่า "ในต่างประเทศนั้น เรามักแบ่งพรรคตามอุดมการณ์มาตรฐาน เช่น ซ้ายหรือขวา อนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม หรือสังคมนิยม และสวัสดิการนิยม หรือกระทั่งชาตินิยมประชานิยมเป็นต้น ถามว่า รปช.เป็นซ้ายหรือขวา ตอบแบบ "ฝรั่ง" เกินไปย่อมไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ลอกอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งของฝรั่งมา"
นายเอนก ระบุต่อว่า "ก่อนอื่นเราไม่ใช่ "ขวา" เพราะเรามีอุดมการณ์ไม่ให้ตลาดเป็นเป้าหมาย ไม่ให้กำไรหรือกำไรสูงสุดของธุรกิจคือเป้าหมาย หามิได้ เราคำนึงว่าตลาดเป็นเพียงวิธีการ เรามีเศรษฐกิจชุมชน สหกรณ์เศรษฐกิจท้องถิ่น เศรษฐกิจครัวเรือน เศรษฐกิจปากท้อง เศรษฐกิจพอเพียงด้วย และน้ำหนักที่เราให้กับเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ "ทุนนิยม" แบบปกตินี้จะสูงมาก เราจึงไม่ใช่ "ขวา"
...
นายเอนก ระบุต่อว่า "ทว่า เราก็มิใช่ "ซ้าย" ในความหมายง่ายๆ เพราะเรามุ่งรักษาปกปักและพัฒนาของเก่า สถาบันเก่า ขนบและแบบแผนเก่า ความคิดเก่าที่เป็นของไทย ที่ดีด้วยความภูมิใจ แน่นอนครับสิ่งใดอะไรที่เป็นของเก่าที่ไม่ดี เราก็ไม่เก็บเอาไว้ แต่บ้านเมืองเรามีของดี ความคิดดี สถาบันดี อีกไม่น้อยที่เราต้องหวงแหนชื่นชม โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายท่านจ้องว่าเรา "โหนเจ้า" หามิได้ เรามิบังอาจ
"เราเห็นแจ้ง จากการเพ่งพินิจว่า ชาติบ้านเมืองเราจัดเป็น "ข้อยกเว้น" ของประเทศ "ตะวันออก" ทั้งหลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้น ขออนุญาตใช้ภาษาธรรมดา "เวิร์ก" ครับ นำพาสยามพ้นจากลัทธิ "อาณานิคม" ของตะวันตกได้ เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ทำได้ "จักรพรรดิ กษัตริย์ และอมาตย์" ของจีน อินเดีย ซึ่งใหญ่กว่าไทยมากมาย หรือพม่าที่ตีอยุธยาแตกมาแล้ว และเวียดนามซึ่งกำลังทัดเทียมไทยนั้น ล้วนพ่ายแพ้ "ล้มครืน" ลงไป และ "เสีย" ประเทศให้ฝรั่งหรือญี่ปุ่น และยิ่งกว่านั้นพระมหากษัตริย์ในสมัยประชาธิปไตย ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง โดยแทบไม่มีใครล้มตาย ผ่านสงครามเย็นกว่าสี่สิบปีมาได้ และยังผ่านสงครามอินโดจีนครั้งสุดท้าย ที่กองทัพเวียดนามมาประชิดชายแดนไทยด้านเขมร รอดมาได้ ภายใต้พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ประเทศเรามีสันติภาพ ปลอดสงครามมาถึงร่วมสองร้อยปีแล้ว" นายเอนก ระบุ
นายเอนก ระบุต่อว่า "ในเจ็ดสิบปีของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 นั้น สถาบันที่ชอบธรรมต่อเนื่อง เป็นความภูมิใจ เป็นที่ยอมรับของคนไทยมากที่สุด ก็คือ พระมหากษัตริย์ เช่นนี้แล้วเราจึงกำหนดเป็นอุดมการณ์ที่จะน้อมรับพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชปรีชาญาณ เสมอและตระหนักยิ่งในพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัว ด้วยเราเชื่อมั่นใน "ธรรมราชาธิปไตย""
นายเอนก ระบุต่อว่า "ในทางตรงข้าม เรามิใช่ "ขวา" ด้วยอีกเหตุผลหนึ่ง คือ เราย้ำมากใน บทบาท และ "อำนาจ" ของประชาชน เราย้ำว่า ประชาชนเป็นเจ้าของบ้านเมือง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย พรรคเราเน้นให้ประชาชนและสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของพรรค กำหนดนโยบายพรรค เลือกกรรมการบริหารพรรค เลือกกรรมการวินัยและจริยธรรมที่จะมาควบคุม ตรวจสอบ ลงโทษผู้นำพรรค ส.ส. และรัฐมนตรีของพรรค เราสรุปกันหนักแน่นว่า ประชาธิปไตย และ ธรรมาภิบาลนั้น ต้องเริ่มภายในพรรค และวันนี้ขอประกาศก้องเลยว่า ถึง คสช. หรือ รัฐ จะประกาศไม่ใช้ "ไพรมารีโหวต" ในการเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค เราก็ยังจะคงเลือกผู้สมัครของเราด้วย "ไพรมารีโหวต" จะให้เสียงของสมาชิกเป็นที่สุด"
นายเอนก ระบุต่อว่า "ด้วยเหตุนี้เราจึงมิได้เห็นประชาชนเป็นเพียงผู้หย่อนบัตรเลือกตั้งหรือผู้รอรับนโยบายและประโยชน์จากรัฐ หรือเป็นเพียงผู้ออกมาเดินขบวน ประท้วง ขับไล่รัฐบาลที่ไม่ดีเท่านั้น แต่จักต้องเป็น "พลเมือง" ที่ร่วมกำหนดนโยบาย ร่วมปฏิบัติ ร่วมดำเนินนโยบาย ร่วมสร้างบ้านสร้างเมืองด้วยตนเองให้มากที่สุดด้วย นี่คือความคิด-อุดมการณ์ในเรื่อง ประชาธิปไตยทางตรง ของเรา เรามิได้มีแต่ประชาธิปไตยทางอ้อม เช่นนี้แล้วจะจัด รปช. เป็นพรรค "ขวาๆ" ไปได้อย่างไร"
"อนึ่งเรายังมิใช่ "ขวา" ในความหมายที่จะหยุดนิ่ง อยู่เฉย จะไม่อภิวัฒน์ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ปรับปรุง ตรงข้ามครับ เราจะปฏิรูปใหญ่ เช่น จะทำให้จังหวัดมีผู้ว่าราชการที่มาจากประชาชน แต่เชื่อมโยงใกล้ชิดกับส่วนกลางและนายกรัฐมนตรี ทั้งจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ และมีสถานะเทียบเท่ารัฐมนตรี อยู่ในวาระสี่ปี หากเราทำได้ ในอนาคต การประชุมสำคัญของประเทศในภาครัฐจะไม่มีเพียงการประชุมคณะรัฐมนตรี หากยังต้องมีการประชุมนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกเดือน บรรดาผู้ว่าราชการในระบอบ "ปฏิรูป" ของเรา จะแข่งขันกันสร้างผลงาน "เอาใจ" ประชาชนในจังหวัด มิใช่ "ตามใจ" แต่รัฐมนตรี หรือ ปลัดกระทรวง อย่างที่ทำกันมานับแต่ปี 2475 อย่างนี้แล้ว ใครจะมาจัดเราไปเป็น "ขวา" ในความหมายตื้นๆ เขินๆ ได้อย่างไร" นายเอนก ระบุ
นายเอนก ระบุต่อว่า "วันนี้ขออนุญาตให้อรรถาธิบายแค่นี้ก่อนนะครับ สรุป เราทันโลกครับ ทันยุค ทันสมัย ขณะเดียวกันรู้ว่า อะไรที่เป็นของเราที่ดี ที่สืบมาจากอดีต ที่เป็นตัวตนเดิมของเรา เรามีกระบวนทัศน์ และประสบการณ์ ของเราเองมากพอควร อะไรที่ดีของต่างชาติ ของตะวันตก เรารับครับ แต่อะไรที่ดีของเรา มาแต่เดิม เราภูมิใจ และเอามาใช้เช่นกันครับ ในโลกที่สลับซับซ้อน ความสมดุล ความพอดี เหมาะเจาะ และเป็นตัวของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เราจะไม่สุดขั้ว สุดโต่ง ครับ"