4 ปี คสช. 4 ปี ประเทศไทย
พูดไปไวเหมือนโกหก ครบ 4 ปี กับการเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของ คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแกนหลักอยู่ที่ “บูรพาพยัคฆ์”
3 เสือสำคัญคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คงไม่มีใครคิดว่า คสช.จะลากยาวอยู่ได้ถึง 4 ปี
เพราะที่เห็นและเป็นมานั้นการเมืองภายใต้เผด็จการทหารมักจะอยู่ไม่นาน เสร็จสรรพจากการเข้าสู่อำนาจอยู่สักระยะ
เขียนรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จก็ผ่องอำนาจไปสู่ระบบเลือกตั้ง
แต่มาคราวนี้ คสช.กลับอยู่นานที่สุด ทำไมต้องอยู่นานอย่างนี้ คำตอบมี 2 อย่าง คือ ต้องการแก้ไขปัญหาประเทศอย่างต่อเนื่อง
อีกคำตอบคือต้องใช้เวลาในการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีเพื่อการบริหารอำนาจในระยะเวลาที่นานพอสมควร
มีการปรุงแต่งเรื่องกฎ กติกาใหม่ เพื่อหวังผลทางการเมือง การวางโครงสร้างเพื่อการปฏิรูป การวางโครงสร้างเศรษฐกิจและยังมีอีกหลายเรื่อง
เพียงแต่ขั้นตอนการดำเนินการต่างๆต้องใช้เวลา มีอุปสรรคไม่เป็นไปตามแผนก็ต้องแก้ไขปรับปรุงกันใหม่
วันนี้ยังต้องรอการตีความตามกฎหมายลูกที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาได้เมื่อใด
ที่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเดือน ก.พ.62 ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
4 ปี คสช. ประเทศชาติได้อะไรบ้าง คงไม่ต้องนะครับ...เพราะที่ชมที่ด่ากันให้ขรมคงพอจะมองเห็นแล้วว่าเป็นยังไง
ก็เป็นอย่างนี้แหละพวกเดียวกันก็ว่าดี คนละพวกก็มืดมนกันไปเลย
ในวาระนี้มีสิ่งที่น่าสังเกตคือความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เอาฤกษ์นี้ออกมาเคลื่อนไหวทำท่าจะกลายเป็นเรื่องเป็นราว
เริ่มจาก “คนอยากเลือกตั้ง” ที่จองกฐินเอาไว้นานแล้วว่าจะนัดชุมนุมใหญ่ เริ่มจากธรรมศาสตร์ไปสู่ทำเนียบ
...
คนเสื้อแดงประกาศเสริมทีมงานด้วยการนัดชุมนุมที่ย่านราชประสงค์
“พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ผู้เฒ่าทางอายุ แต่การเมืองนั้นทันสมัย ทันสถานการณ์ตลอดเวลา มาวันนี้บอกในฐานะโซ่ข้อกลางว่าไม่สนใจรัฐบาลแห่งชาติอย่างที่ประกาศมาตลอด
แต่สนใจรัฐบาลเฉพาะกาลมากกว่า
แถมยังดึงชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ขึ้นมาทำนองว่าอีกนานคงได้กลับบ้าน
พรรคเพื่อไทยจี้จุดอ่อน คสช.ด้วยการออกแถลงการณ์โจมตี ทำนองว่า 4 ปี มีแต่ทำให้บ้านเมืองตกต่ำลง
มิหนําซ้ำยังสร้างประเด็นคือออกแถลงร่วมกัน 7 ปี ฝ่าฝืนกฎหมาย จนตำรวจต้องเข้าห้ามปรามจนเกิดปัญหาใช้อำนาจมิชอบ
4 ปี คสช.ภาพรวมมันจึงออกมาในลักษณะนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่น่าจะเป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบรวมกันอีกครั้ง
พูดง่ายๆเพื่อเป็นการทดสอบพลังในเงื่อนไขที่เอื้อพอสมควรว่าจะ “จุดติด” ได้หรือไม่ หากมาเยอะ คึกคักก็จะได้อีกคำตอบหนึ่ง
ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นไปอย่างไรต่อไป แต่มันมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกได้ว่าความยุ่งยากทางการเมืองจะหนักมือมากขึ้น
นี่จึงทำให้ “การเมืองร้อน” ขึ้นมาอีกครั้ง.
“สายล่อฟ้า”