ใส่เกียร์ถอยกันทันทีทันใด

ตามฉากล่าสุดที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เตรียมหั่นลดงบประมาณด้านไอที การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงิน 8,135 ล้านบาท

ยอมลดสเปกเลิกจัดซื้ออุปกรณ์แพงเว่อร์อย่างไมโครโฟนเครื่องละ 120,000 บาท และนาฬิกาเรือนละ 70,000 บาท หันมาใช้ระบบที่มีราคาปกติ

ภายหลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แสดงอาการไม่สบอารมณ์ กลางวง ครม. ในการจัดซื้อจัดจ้างระบบเทคโนโลยีด้านไอทีในราคาไม่สมเหตุสมผล ชวนให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความไม่โปร่งใสในยุครัฐบาลทหารที่เน้นจุดขายรังเกียจการทุจริตเป็นอันดับต้นๆ

ท้ายที่สุดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต้องพับแผนซื้ออุปกรณ์ไฮเทคด้านไอทีเก็บใส่ลิ้นชัก

ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ “บิ๊กตู่” ที่สกรีนการใช้งบประมาณของส่วนราชการละเอียดยิบ เบรกการใช้งบอีลุ่ยฉุยแฉกเกินความจำเป็น ช่วยเซฟเงินประเทศไว้ได้ก้อนโต

เป็นคิวที่ผู้นำ คสช.ได้แต้มไปเต็มๆแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง ใส่ใจมาตรฐานป้องกันกลโกง

กระตุ้นเรตติ้งผู้นำให้ติดลมบนยิ่งขึ้น หลังจากที่ผลโพลของ “นิด้า” ออกมาเป็นใจ ชาวบ้านเทใจสนับสนุนให้ “บิ๊กตู่” ได้ต่อตั๋วอำนาจเบิ้ลเก้าอี้ผู้นำ โดยมีคะแนนเหนือกว่า 2 คู่แข่งอย่าง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย และ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

แถมพรรคพลังประชารัฐ ว่าที่พรรคผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ “ลุงตู่” ยังทำคะแนนนิยมแซงพรรคประชาธิปัตย์ เบียดขึ้นมาไล่ตามพรรคเพื่อไทย

...

รูปการณ์ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับขั้ว 2 ค่ายใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์” ที่ยังมีปัญหาเรื้อรังเรื่องตัวผู้นำพรรค ทั้งคุณหญิงสุดารัตน์และนายอภิสิทธิ์ยังติดปัญหาการยอมรับจากลูกทีม จะเทใจให้เต็มร้อยในการถือธงนำลงสนามเลือกตั้งหรือไม่

สถานการณ์สองพรรคใหญ่ไม่สู้ดี ปัจจัยทางบวกไหลไปอยู่กับขั้วอำนาจพิเศษหมด

เพราะมาถึงตอนนี้แนวโน้มสูงหลังการเลือกตั้งจะได้ผู้นำหน้าเดิมชื่อ “ลุงตู่” ตามต้นทุนที่สะสมทำงานมาร่วม 4 ปี ยังมีดีพอที่จะได้ไปต่อ

สามารถจัดแถวนักเลือกตั้งให้อยู่ในระเบียบ และทำท่าจะต่อยอดเปิดทางให้ทหารมีบทบาทมากขึ้นในการดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆเพื่อคุมเกมความได้เปรียบในอนาคต

ตามเค้าลางที่เห็นในกรณีรัฐบาลและ สนช.เตรียมคลอดกฎหมายฉบับใหม่ ร่าง พ.ร.บ.การเทียบตำแหน่งของข้าราชการทหารกับข้าราชการพลเรือน

หลักใหญ่ใจความคือ การปรับระดับให้นายทหารยศ “พลตรี” มีสถานะเทียบเท่ากับซี 10 หรือระดับ “อธิบดี” ในตำแหน่งทางข้าราชการพลเรือน

เห็นเนื้อหาสาระ ก็อ่านไต๋กันออก นำร่องเคลียร์ทางให้ระดับหัวแถวท็อปบูตลงสนามเข้ามาเป็นกรรมการองค์กรอิสระได้ โดยไม่ติดกฎเหล็กเรื่องคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญปี 2560

ปลดล็อกให้เกิดความชัดเจนเรื่องการเทียบเคียงยศทางทหารกับตำแหน่งข้าราชการพลเรือน ให้ระดับ พล.ต.มีสิทธินั่งแท่นองค์กรอิสระได้ ไม่ใช่ผูกขาดอยู่แค่ระดับ พล.อ.ที่เป็น ผบ.เหล่าทัพเพียงอย่างเดียว

เนื่องจากที่ผ่านมาชั้นยศ “พลตรี” ถูกตีความไม่ได้อยู่ในข่ายเทียบเท่า “อธิบดี”

แม้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พยายามชี้แจง จะต้องดูทั้งตำแหน่งและชั้นยศเทียบเคียงประกอบกันไปด้วย จึงจะชี้ขาดได้ว่า ชั้นยศ พล.ต.ตามกฎหมายใหม่จะมีศักดิ์เทียบเท่าอธิบดีหรือไม่

แต่อย่างน้อยก็มีแนวโน้มให้ทหารเข้าไปนั่งในองค์กรอิสระระดับหัวกะทิ อาทิ กกต. ป.ป.ช. สตง. ได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมามีนายพลหลายรายที่ถูกมองเป็นเด็กปั้นฝ่ายอำนาจพิเศษตกม้าตาย วืดเก้าอี้องค์กรอิสระ

จึงมีความจำเป็นต้องหาช่องให้ท็อปบูตได้แทรกตัวไปอยู่ในองค์กรอิสระ คอยประคองเสถียรภาพ “บิ๊กตู่” ในการต่อตั๋วอำนาจนั่งเก้าอี้นายกฯรอบสองช่วงเปลี่ยนผ่าน

ช่วยระวังหลังให้รัฐบาลไปได้ตลอดรอดฝั่ง

นาทีนี้ “ลุงตู่” มองข้ามช็อตไปไกลกว่าการเลือกตั้งแล้ว.

ทีมข่าวการเมือง