เชื่อว่า คอการเมือง คงไม่พลาดกับความเคลื่อนไหวของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน ประเทศมาเลเซีย หลังจากที่ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า พรรคฝ่ายค้าน ปากาตัน ฮาราปัน ที่นำโดย มหาธีร์ อดีตผู้นำมาเลเซีย ที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุด สามารถเอาชนะพรรครัฐบาลหรือพรรคอัมโนของนายกฯ นาจิบ ราซัค ได้อย่างสบายๆด้วยจำนวนส.ส.113 ที่นั่ง จากรัฐบาลกลาง จำนวน 222 ที่นั่ง ถือว่าเกินครึ่งมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ในขณะที่พรรครัฐบาลได้ที่นั่ง 79 ที่นั่ง ที่เหลือเป็นของพรรคอื่นๆ การเมืองในมาเลเซียจะแบ่งเป็น 3 ขั้วคือ รัฐบาล ฝ่ายค้าน และพรรคแนวร่วม ที่นำโดยพรรค PAS มีฐานเสียงอยู่ทางตอนเหนือของมลายูก็เหมือน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทยอย่างไรอย่างนั้น
ปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่ากันว่าเป็น สึนามิการเมืองมาเลเซีย ส่วนจะมีผลถึงความเปลี่ยนแปลงสำหรับประเทศมาเลเซียเอง หรือประเทศในอาเซียนอย่างไรหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลกลาง ที่แน่ๆคือ ประเทศมาเลเซีย ทำลายสถิติที่ มีผู้นำอายุมากที่สุดในโลก คือ 92 ปีไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่ มหาธีร์ จะต้องทำตามสัญญาที่หาเสียงเอาไว้ คือสร้างความเป็นอิสระให้แก่สถาบันตุลาการ รัฐสภา สำนักงานอัยการสูงสุดและสถาบันอิสระอื่นๆ รวมทั้งสัญญาที่จะตั้ง กรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบ กรณี 1MDB การกล่าวหายักยอกเงินจากกองทุนพัฒนาประเทศของ นาจิบ ซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้คะแนนนิยมรัฐบาลพรรคอัมโนต้องมาถึงจุดจบ มีการเดินขบวนไล่รัฐบาลครั้งใหญ่มีมวลชนสนับสนุนรัฐแบ่งเป็น ฝ่ายแดง ฝ่ายเหลือง เกือบจะคล้ายกับ วิกฤติการเมืองไทยในอดีตเพียงแต่ว่า ไม่มีกองทัพ เข้ามายึดอำนาจเท่านั้น
ที่ต้องจับตาคือสัญญาที่จะขออภัยโทษให้กับ อันวาร์ อิบราฮิม นักการเมืองที่มีความโดดเด่นของมาเลเซียใช้ความสามารถจนได้รับตำแหน่ง รองนายกฯและ รมว.คลัง ในสมัยรัฐบาลมหาธีร์ และต้องเจอวิบากกรรมก็เพราะ มหาธีร์ เช่นกัน เช่นเดียวกับ นาจิบ อนาคต ทางการเมืองก็อยู่ใน กำมือมหาธีร์ ซึ่งเป็นคนที่เคยสนับสนุนให้ นาจิบ ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศมาแล้ว
...
ท้ายที่สุดแล้วการชิงอำนาจก็มาตกกับคนที่เคยร่วมงานกันมาทั้งสิ้น ระหว่างมหาธีร์ นาจิบ และอันวาร์ บุญคุณความแค้นหลอมรวม อยู่ในวังวนการเมืองของมาเลเซีย ที่คนมาเลเซียก็ไม่มีโอกาสที่จะเลือกได้ไปมากกว่านี้
การเมืองในอาเซียนหรือแม้แต่ในเอเชีย ส่วนใหญ่ประเพณีค่านิยมทางการเมืองยังยึดอยู่กับหลักตัวบุคคล บุญคุณความแค้น ในระบบอุปถัมภ์ ปลูกฝังอยู่ในทัศนคติของประชาชน ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจในนโยบายบริหารประเทศโดยตรง การเมืองจะให้บริสุทธิ์ เป็นผ้าขาวร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องยาก
วิถีการเมืองไทย อิทธิพลในท้องถิ่นยังมีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองระดับชาติ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเมืองภาคนิยม ที่ประชา-ธิปัตย์ครอบคลุมการเมืองในภาคใต้ เพื่อไทยครอบคลุมการเมืองในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะไปว่าคนโน้นสีเทา คนนี้สีขาว วัดกันลำบาก ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการตรวจสอบ ผู้นำ บางประเทศตอนเลือกตั้งได้รับความนิยมถล่มทลาย แต่ตอนจบต้องเดินเข้าคุก เป็นสัจธรรมของการเมืองในยุคนี้.
หมัดเหล็ก