นายกฯ เตรียมนำ ครม.ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์-จ.บุรีรัมย์ 7-8 พ.ค.นี้ ย้ำมุ่งรับฟังปัญหาประชาชน ไร้นัยพิเศษการเมือง
เมื่อวันที่ 6 พ.ค.61 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 7-8 พ.ค.นี้ เพื่อติดตามรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน พูดคุยหารือร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ และประชุม ครม.พิจารณาโครงการช่วยเหลือและผลักดันศักยภาพของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 1 ที่ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"นายกฯ ย้ำว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่มีอะไรพิเศษ เพราะเป็นภารกิจของ ครม.ที่ปฏิบัติเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา สิ่งสำคัญคือการได้พบปะประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาความทุกข์ร้อน โดยให้ ครม.กระจายกันลงพื้นที่ แล้วกลับมาคุยกันว่าจะมีแนวทางพัฒนาอย่างไร พร้อมทั้งพิจารณาข้อเสนอของภาคเอกชนและประชาสังคมด้วยว่าต้องการอะไร"
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายการลงพื้นที่คือการเชื่อมโยงจุดเด่นในแต่ละพื้นที่ และลดข้อจำกัดในการพัฒนาให้ได้มากที่สุด โดยกลุ่มจังหวัดนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอาหารปลอดภัยและผลิตภัณฑ์ไหม มีแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรมที่สำคัญ และเป็นย่านการค้าชายแดนที่มีศักยภาพ รัฐบาลจึงมุ่งเน้นที่เรื่องเหล่านี้ โดยเริ่มจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว เช่น โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ปรับปรุงสนามบิน ฯลฯ ซึ่งจะต่อยอดไปสู่การพัฒนาในด้านอื่นๆ
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้จะไปตรวจเยี่ยมชมจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง ตรวจสภาพอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด-ห้วยจระเข้มาก จ.สุรินทร์ พร้อมทั้งพบปะประชาชนติดตามความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก และเยี่ยมชมถนนคนเดินเซราะกราว จ.บุรีรัมย์ และวันถัดไปจะไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยววิถีไทย บ้านสนวนนอก และตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นจุดขายของพื้นที่ที่ควรได้รับการส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น
...
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 1 นั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะของภาคเอกชน ผู้นำท้องถิ่น และประชาสังคม โดยเห็นว่าหลายโครงการที่จะเสนอมีความสอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล จึงเป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายจะได้ร่วมพูดคุยหารือและดำเนินการให้สำเร็จเป็นรูปธรรมตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป.