นิทานเรื่องคนกับเทวดาอยู่ในหนังสือนิทานอีสปฉบับของคุณเสรี เปรมฤทัย (สำนักพิมพ์ประมวลสาร พ.ศ.2503) กระดาษเก่ากรอบเต็มที ผมอ่านมาตั้งแต่ยังเด็ก

ชายคนหนึ่ง มีเหตุบังเอิญไปคบกับเทวดา ตกลงกันว่าจะเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งเทวดาก็เชิญคนไปเป็นแขกบนรุกขวิมาน ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว อากาศหนาวมาก

ระหว่างนั่งรอเวลารับประทานอาหาร คนยกมือขึ้นแล้วเอาปากเป่านิ้ว

ท่วงท่าอย่างนี้เทวดาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงต้องถาม “ทำอะไร เล่าสหายเอ๋ย”

คนอธิบาย การใช้ปากเป่านิ้วก็เพื่อให้ลมปากให้ความร้อนช่วยทำให้มืออบอุ่น

เทวดาพยักหน้า พยายามเข้าใจ

ได้เวลาอาหารจานร้อนของเทวดาก็ถูกยกออกมาวาง อาหารนั้นร้อนมาก ถึงขั้นควันพลุ่ง

แขกรับเชิญ เห็นเข้าก็ส่ายหน้า ใช้สองมือประคองชามขึ้นเป่า

“เป่าทำไมอีกล่ะสหาย” เทวดาขมวดคิ้วยิ่งไม่เข้าใจ “เมื่อครู่สหายเป่ามือให้อบอุ่น คราวนี้สหายคงเป่าให้อาหารร้อนขึ้นอีกกระนั้นหรือ”

“หามิได้” แขกรับเชิญว่า “อาหารของท่านร้อนเกินไป ข้าเป่าเพื่อให้มันเย็นลง เย็นพอที่คนอย่างข้าจะรับประทานได้”

“หือ!” คราวนี้เทวดา ร้องออกมาเสียงดัง “ถ้างั้นท่านรีบๆ รับประทานอาหารให้อิ่มเถิด มื้อนี้คงเป็นมื้อสุดท้าย” คนยังตั้งหลักไม่ถูก เมื่อเทวดาบอกต่อว่า “เราคงคบกันเป็นสหาย ต่อไปไม่ได้อีก”

คนไม่รู้ว่าตัวทำอะไรผิด หลุดปากถามด้วยความงงงัน

“ข้าทำผิดอะไรมากมายเชียวหรือ”

“ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก” เทวดาบอก

“เพียงแต่ข้าคิดว่าคนที่ใช้ปากเป่าให้ความร้อนหาย และใช้ปากเดียวกันเป่าให้ความร้อนเพิ่มเป็นคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย คบต่อไปไม่ได้ สารภาพเทวดาอย่างข้ากลัวคนแบบท่าน”

...

เทวดาพูดจบ ทนความกลัวต่อไปไม่ไหวก็หายตัวไปทันที วิมานหรูหราโอ่อ่าบนยอดต้นไม้ใหญ่ก็หายไปด้วย

คนกว่าจะรู้ตัวก็มานั่งตั้งสติไม่ถูก อยู่โคนต้นไม้

นิทานอีสปชุดนี้คุณเสรี เปรมฤทัย ไม่มีคำสอนต่อท้าย

ปล่อยให้คนอ่านค้นหาแง่คิดกันเอง

ผมอ่านตอนเป็นเด็ก คิดอะไรไม่ได้มาก แค่หัวเราะเพราะสนุก แต่เมื่ออ่านตอนโตก็เคลิ้มตาม

คนในทัศนะของเทวดา ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ อย่าว่าแต่จะปากเดียวกันเป่าให้ร้อนก็ได้ให้เย็นก็ได้ ปากคนโดยเฉพาะปากนักการเมืองนั้น พูดอะไรยอกย้อนไปมาจนคนฟังจับทางไม่ถูก

นักการเมืองบางพรรคครั้งหนึ่งตอนตั้งพรรคมีประวัติ คลุกคลีตีโมงมาดีๆอยู่กับทหาร

พรรคเติบใหญ่ยืนยาวมา 60 ปี ก็เจอข้อครหาเดิมๆ ตั้งรัฐบาลในกองทหาร

เคยร่วมสังฆกรรมชุมนุมใหญ่ ถึงขนาดปิดบ้านปิดเมือง

ทำสารพัดท่า เรียกให้ทหารยึดอำนาจ

แล้วก็ดูจะเป็นปากเดียวกับที่เรียกทหารนั้น เมื่อเวลาผ่านไปมีเรื่องให้ไม่พอใจก็ด่าทหาร

คนพวกนี้ทหารที่เคยผูกสมัครรักใคร่กันมานาน ก็เริ่มกลัว กลัวว่าถึงวันข้างหน้า ถ้าสถานการณ์กดดันให้มาร่วมสังฆกรรมเป็นรัฐบาลด้วยกัน คนพวกนี้จะมีวิธีพูดอย่างไร

ดูจากประสบการณ์ หนีเลือกตั้งก็พูดไว้อย่างหนึ่ง มีเลือกตั้งก็พูดอีกอย่างหนึ่ง นักการเมืองพวกนี้ คงมีเหตุผลที่จะอธิบาย ผมเพิ่งรู้ว่าคนที่กระทั่งเทวดาก็กลัว เป็นเช่นนี้เอง.

กิเลน ประลองเชิง