กติกาใหม่ ยาเริ่มออกฤทธิ์

หลังเงื่อนเวลาผ่านพ้นไปจากวันที่ 30 เม.ย.61 ซึ่งเป็นเดดไลน์ให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่าเข้ายืนยันความเป็นสมาชิกพร้อมกับจ่ายค่าบำรุงพรรคตามกติกาใหม่

เมื่อนับจำนวนกันแล้วปรากฏเกือบทุกพรรคบรรดาสมาชิกที่เคยอวดตัวเลขกันโดยเฉพาะพรรคใหญ่

ที่ระบุว่ามีจำนวนเป็นล้านๆ ปรากฏหายวับไปกับตา

เพื่อไทยบอกว่ามีแค่หมื่นกว่าคน ประชาธิปัตย์เคยมี 2.5 ล้านคน เหลือไม่ถึงแสนคน ภูมิใจไทยเดิม 1.2 แสนคน เหลือแค่ 1,700 คน ชาติไทยพัฒนาจากเดิม 24,710 คน เหลือแค่ 2,500 คน

นี่แค่เป็นตัวอย่างสำหรับพรรคการเมืองเก่าที่รู้จักชื่อกันดี

แต่ละพรรคล้วนมีคำตอบเฉพาะตัวหลังเจอสถานการณ์ เช่นนี้ พรรคการเมืองใหญ่ดูเหมือนจะมีเหตุผลหลายประเด็นที่จะต้องฟ้องสังคม

เพราะรู้สึกว่าจะเสียหน้าเสียเครดิตไปไม่น้อยไม่สมราคาคุย เพราะหากตัวเลขใกล้เคียงก็ยังพอทำเนา

ประเด็นที่ย้ำชัดเจนก็คือการสร้างกฎกติกาใหม่นั่นแหละ...คือเหตุสำคัญอันไม่ต่างไปจากการ “วางยา” เอาไว้และก็ได้ผลทันตา

เพื่อต้องการให้พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค เกิดผลกระทบในการได้รับการยอมรับ ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากในการจัดการ การต้องจ่ายเงินบำรุงก็เป็นสาเหตุ การไม่ปลดล็อกการเมืองจนไม่สามารถกระจายข่าวกระจายการรับรู้ไปถึงสมาชิกพรรคได้

ก็ว่ากันไปครับ...แล้วแต่จะหาเหตุผลมาอ้าง

จากก้าวนี้ก็ไปอีกก้าวคือหลังจากที่มีการปลดล็อกการเมืองแล้วนั่นแหละ จึงสามารถดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองได้

ที่แน่ๆย่อมมีผลกระทบต่อระบบการเมืองในกฎกติกาใหม่ โดยเฉพาะในระบบการเลือกตั้งขั้นต้น “ไพรมารีโหวต” ที่กำหนดให้ต้องใช้สมาชิกพรรคเป็นเกณฑ์กำหนด ตัวแทนจังหวัดและสาขาพรรค

การหาสมาชิกพรรคให้เข้าหลักเกณฑ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ

...


การทำไพรมารีโหวต พรรคหนึ่งต้องใช้สมาชิกพรรคทั่วประเทศอย่างน้อย 7,000 คน หรือใช้สมาชิกสาขาอย่างน้อยก็ต้อง 500 คนขึ้นไป ตัวแทนจังหวัดไม่น้อยกว่า 120 คน

ไม่ว่าพรรคการเมืองเก่าหรือใหม่ ประเด็นนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องจัดการให้เรียบร้อย เพราะอาจจะเกิดปัญหาได้

แต่เอาเข้าจริงแล้วคงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการตั้งพรรคการเมืองกับการหาสมาชิกพรรคนั้นน่าจะทำกันได้

เพียงแต่จะต้องทำให้ถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดถูกจับได้ไล่ทันในลักษณะที่เคยทำกันมาคือ การ “ซื้อตัว” จะถูกตัดสิทธิถูกลงโทษหนักด้วย

ปัญหานี้ดูว่าแต่ละพรรคไม่ค่อยกังวลเท่าใดนักนอกจากเสียฟอร์มที่เคยคุยโม้เอาไว้ ทว่าที่สำคัญและจับจ้องกันมากก็คือจะมีสมาชิกคนสำคัญหายไปหรือไม่

ตรงนี้แหละสำคัญทีเดียว...

“เพื่อไทย” นั้นหายไปพอสมควรอย่างที่มีการคาดการณ์กันเอาไว้ โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่แบะท่าให้เห็นเอาไว้แล้วที่สุดก็ไปจริงๆ

เว้นแต่ที่เหลืออยู่ทำยังไงให้ยืนยงคงกระพันกันต่อไป เนื่องจากระยะเวลายังยาวไกลกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง

อะไรต่อมิอะไรมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอยิ่งพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ซึ่งความแน่นอนภายในยังไม่มีความมั่นคงพอที่จะให้เกิดความเชื่อมั่นได้ ระวังเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน

เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คือ “นักเลือกตั้ง”.

“สายล่อฟ้า”