เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ประสานเสียงโต้ “บิ๊กตู่” รุมถล่มดูด ส.ส. ไม่ใช่ครรลองประชาธิปไตยไทย “อนุสรณ์” โวยใช้อำนาจ รัฐบีบบังคับนักการเมืองยอมศิโรราบ หวังต่อตั๋วอยู่ต่อ อดีต ส.ส.มหาสารคามแฉผู้แทนอีสาน เพื่อไทยหลายพื้นที่ถูกกดดันให้เปลี่ยนสังกัด แต่ยังมั่นใจมีอดีต ส.ส.ตีจากไม่เกิน 5% “จาตุรนต์” ชู 10 เหตุผลต้าน “ประยุทธ์” คัมแบ็ก อัดยับทำประเทศถอยหลัง ฉุดเศรษฐกิจเสียหาย จ้องทำลายพรรคการเมือง “องอาจ” เตือนคนในรัฐบาลใช้พลังดูดไม่เหมาะสม เตือนขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ใช้กลไกรัฐเอื้อประโยชน์ทางตรง-ทางอ้อมเอาเปรียบรับสมัคร ส.ส. “สัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์” นั่งแท่นหัวหน้าพรรคพลังพลเมืองไทย ยังอุบไต๋หนุนใครนั่งนายกฯ วาดะห์ส่งสัญญาณยกทีมทิ้งเพื่อไทย ตั้งพรรคประชาชาติ

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ระบุเรื่องการดูดตัว ส.ส.เป็นครรลองของประชาธิปไตยแบบไทยที่มีมาก่อนยุค คสช. ปรากฏว่า นักการเมืองสองพรรคใหญ่ต่างพากันออกมาตอบโต้ โดยพรรคเพื่อไทยระบุเป็นการใช้อำนาจรัฐบีบบังคับให้นักการเมืองยอมศิโรราบ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เตือนให้ระวังเป็นการขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้ คสช.ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมในการรับสมัคร ส.ส.

...

พท.โต้ดูด ส.ส.ไม่ใช่ครรลอง ปชต.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 เม.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ระบุการดูดอดีต ส.ส. เป็นครรลองประชาธิปไตยแบบไทยที่มีมาก่อนยุค คสช.ว่า การดูด ส.ส.ไม่ใช่ครรลองประชาธิปไตยแบบไทย แต่อาจเป็นการใช้ทุกสรรพกำลังอำนาจที่มีอยู่เพียงผู้เดียว กดดันบีบบังคับให้นักการเมืองยอมศิโรราบเพื่อให้สนับสนุนด้วยสารพัดข้อต่อรองหรือไม่ การรับสภาพว่า ไม่มีทางเลือก ต้องกลับไปดูดนั้นแปลว่า การปฏิรูปไม่มีอะไรก้าวหน้าหรือไม่ หรือเหตุผลที่ใช้ยึดอำนาจเป็นเพียงข้ออ้างที่จะเข้าสู่อำนาจ โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง เมื่อเข้ามาแล้วก็ทำทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดอำนาจให้นานที่สุดหรือไม่ คสช.มีเครื่องมือ มีองคาพยพ งบประมาณ ทำได้ทุกอย่าง ไม่เคยกลัวใคร กลัวอย่างเดียวคือ กลัวการเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ต้องตั้งคำถามเหตุใดนักการเมืองคุณภาพไม่ไปอยู่ด้วย เพราะนักการเมืองน้ำดีคำนึงถึงประโยชน์ ประเทศและประชาชน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือข้อต่อรองเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืน

มั่นใจ ส.ส.อีสานตีจากไม่เกิน 5%

นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย ถูกทาบทามให้ย้ายพรรค โดยใช้เรื่องธุรกิจ และคดีความมากดดันว่า ขณะนี้มีความพยายามจากผู้มีอำนาจส่งทีมงานไปโน้มน้าวอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในภาคอีสานหลายจังหวัด โดยใช้เงื่อนไขเรื่องคดีความธุรกิจ การให้งบประมาณสนับสนุนในพื้นที่มากดดัน บอกล่วงหน้าว่า ถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ได้เป็นฝ่ายค้านแน่นอน อดีต ส.ส.บางคนที่มีแผลเล็ก แผลใหญ่จากคดีติดตัวใน ป.ป.ช. หรือกระบวนการยุติธรรมเกิดความกลัวมาหารือกับตน ก็ได้แต่ให้กำลังใจขอให้อดทน อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่า คงมีอดีต ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทยหวั่นไหวไปตามแรงดูดน้อยมาก อาจมีคนไปบ้างแต่ไม่มาก เต็มที่ไม่น่าเกิน 5% เท่าที่ดูน่าจะเป็นพวกอดีตผู้สมัครสอบตก หรือคนที่มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนการลงสมัคร ยืนยันพรรคเพื่อไทยไม่หวั่นไหวไปตามแรงดูด แม้จะได้เสียง ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 แต่ถ้าไม่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาล ก็พร้อมทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุการดูด ส.ส.เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตย ที่มีมาก่อนยุค คสช.นั้น การตกปลาในอ่างอาจเคยมีมาในอดีต แต่การตั้งหน้าตั้งตาจับปลาในอ่างยุคปัจจุบันถือว่าน่าเกลียด เป็นรอยเปื้อนในระบอบประชาธิปไตย ต้องดูความเหมาะสมสมัยก่อนกับปัจจุบันมาเทียบกันด้วย

เน้นเจาะอีสานเหนือตัดทอนกำลัง

นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พอได้ยินมาว่ามีทีมงานจากผู้มีอำนาจส่งคนมาทาบทามอดีต ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นโซนอีสานเหนือ โดยพยายามยกเหตุผลต่างๆมาล่อใจว่า ถ้าไปร่วมงานกันจะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และไม่ถูกจับตาเพ่งเล็งในการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นวิธีพยายามลดทอนอำนาจพรรคเพื่อไทย ดึงอดีต ส.ส.ไปเป็นพวกในลักษณะเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ แต่เท่าที่ทราบยังไม่ค่อยมีอดีต ส.ส.เพื่อไทยหวั่นไหวย้ายพรรค ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดมาตลอดขอให้ประชาชน เลือกนักการเมืองหน้าใหม่ แต่สุดท้ายต้องมาพึ่งนักการเมืองหน้าเดิมๆ ที่ดูดมายกมือให้ในสภา ว่า แต่เขาอิเหนาเป็นเอง การดูด ส.ส.ถ้าเป็นรัฐบาลปกติ ช่วงมีการเลือกตั้งไม่ถือเป็นเรื่องแปลก แต่ถ้ามาเกิดในยุครัฐบาลทหาร ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะเป็นการดูดโดยใช้ความได้เปรียบทางการเมือง และอำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงกดดัน

เชื่อฟอร์มทีมรัฐบาลแห่งชาติลำบาก

นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีโหร คมช. ระบุเลือกตั้งสมัยหน้าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงระดับหนึ่ง แต่จะเป็นฝ่ายค้าน พร้อมชี้มีโอกาสสูงเกิดรัฐบาลแห่งชาติว่า คิดว่าเป็นการคาดเดาจากกติกาต่างๆ แต่ทุกอย่างไม่แน่นอน ถ้าสมมติประชาชนไม่เอาพรรคทหารหรือพรรคในเครือ โอกาสมันย่อมมีเพราะพรรคประชาธิปัตย์มีแยกแตกออกไป ยังไม่รู้ได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนพรรคเพื่อไทยไปมีพรรคเล็กพรรคน้อย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ ถ้าประชาชนไม่เอาเผด็จการ ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และไม่เอาพรรคที่เกี่ยวพันอยู่กับทหาร แต่เลือกเพื่อไทยคิดว่าโอกาสยังมี จึงยังไม่อยากไปตื่นเต้น ทุกอย่างอยู่ที่ประชาชนเท่านั้น จาก 4 ปีที่ผ่านมาประชาชนยังทุกข์ยากอยู่ ถ้าประชาชนยังเลือกที่พรรคไม่ดูแล เราก็ต้องยอม พรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ส่วนเรื่องรัฐบาลแห่งชาติถามว่าแล้วใครเป็นคนจัดตั้ง จะเป็นรัฐบาลที่อยู่ไปโดยไม่ทะเลาะกัน แต่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ไม่สำเร็จในแง่ของการบริหาร จึงเชื่อว่า ยุคนี้เกิดยกแค่อุดมการณ์ก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว

“อ๋อย” ชู 10 เหตุผลตัดเส้นทาง “บิ๊กตู่”

วันเดียวกัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากวันนี้ไปถึงวันเลือกตั้งที่จะมีขึ้นที่เมื่อใดยังไม่ทราบ เรื่องสำคัญ 2 เรื่องแรกที่ประชาชนจะถามจากพรรคการเมืองคือ 1.จะมีนโยบายแก้ปัญหาประเทศอย่างไร จะทำให้ประชาชนพ้นความเดือดร้อนอย่างไร จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เป็นนายกฯหรือไม่ หาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมา พรรคของท่านจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ความเห็นของตนในคำถามที่ 2 พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ควรประกาศให้ชัดเจนว่า จะหยุดวงจรการสืบทอดอำนาจเผด็จการของ คสช.จะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลนั้น เหตุใดไม่ควรสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และคำตอบก็ไม่ซับซ้อนอะไร เห็นได้จากสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ทำได้คือ 1.เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร 2.เป็นผู้นำทำรัฐประหาร ทำให้ประเทศถอยหลังและเสียหายใหญ่หลวงโดยเฉพาะเศรษฐกิจ

ถล่มละเลงงบต่อตั๋วอำนาจ

3.เลื่อนการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า ทำชาวโลกและคนไทยไม่เชื่อถือ 4.ทำให้เกิดรัฐธรรมนูญกฎหมาย ต่างๆที่ไม่เป็นประชาธิปไตย วางระบบสืบทอดอำนาจเผด็จการยาวนาน 5.ไม่ปฏิรูปใดๆแต่กลับวางยุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูปที่ล้าหลังให้มีผลไปอีกยาวนาน 6.ทำลาย พรรคการเมืองและระบบพรรคการเมืองเพื่อประโยชน์การสืบทอดอำนาจของตนเอง 7.ใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย หวังปูทางเป็นรัฐบาล 8.จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบไม่ได้ 9.ทำลายระบบต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน จนอ่อนแอไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีอิสระ ไม่เป็นกลาง และไม่เป็นที่เชื่อถือ ลูบหน้าปะจมูก 10.จากหลายข้อข้างต้นและการขาดความรู้ ความสามารถในการบริหารประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ประชาชนทำมาค้าขายไม่ได้ เดือดร้อนยากจนไปทั่ว อาจเสียหายไปอีกยาวนาน และยิ่งเสียหายมากมาย มหาศาล หากปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจต่อไปยาวนาน

รอวันเลือกตั้งเขี่ยทิ้ง ส.ส.พลังดูด

นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ข่าวอดีต ส.ส.และกลุ่มการเมืองปรับเปลี่ยนไปอยู่พรรคต่างๆ อาจเป็นเพราะคำสั่ง หัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ให้สมาชิกพรรคยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคภายในวันที่ 30 เม.ย. หากไม่ไปตามกำหนดจะขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเดิม ที่พูดกันมากเหมือนจะบอกว่า การไม่อยู่กับพรรคเดิมมีปัจจัยอื่นเข้ามาเป็นตัวแปร เช่น มีอำนาจพิเศษมากดดัน หรือมีการแลกเปลี่ยนด้วยอามิสสินจ้าง ตามที่สื่อเรียกว่าพลังดูด ถ้าเกิดกรณีดังกล่าวจริงพอเข้าใจได้ เพราะนักการเมืองส่วนหนึ่งเข้ามาทำการเมือง เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน พวกนี้อยู่ตรงไหนแล้วได้ประโยชน์ก็ไป อีกพวกมีชนักปักหลังหวังจะได้ผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง จึงยอมตามผู้มีอำนาจ ดีเหมือนกัน จะได้รู้ได้เห็นว่า ใครเป็นใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเข้ามาในการเมืองเพื่อประโยชน์ของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์ตนมากกว่า ถึงวันเลือกตั้งประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาว่า นักการเมืองคนไหนที่ควรมอบความไว้วางใจให้ ใครควรถูกเขี่ยออกจากเวทีการเมือง

“โอ๊ค” โพสต์ รูปเก๋กาแฟหน้าพ่อ–อา

วันเดียวกันนายพานทองแท้ ชินวัตร “โอ๊ค” บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว เป็นภาพนายทักษิณนั่งโพสต์ถ่ายภาพถือถ้วยกาแฟลาเต้อาร์ตที่ฟองนมได้ปรินต์เป็นภาพหน้าของนายทักษิณ พร้อมโพสต์ข้อความว่า “พ่อกับอานั่งว่างๆระหว่างรอเครื่องบิน กาแฟร้อนต้องใช้หลอดดูด ยังไงหน้าก็ไม่หาย สวยหล่อเหมือนเดิม สภากาแฟ” รวมถึงนายพานทองแท้ยังได้โพสต์ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯนั่งถือถ้วยกาแฟปรินต์เป็นภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์เช่นเดียวกัน พร้อมข้อความว่า “เรียกกำลังเสริมแพรบ แก้วนี้ก็ไม่กล้าดื่ม มิน่ารอดูดอย่างเดียว”

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร “อุ๊งอิ๊ง” บุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณได้โพสต์ภาพนายทักษิณนั่งยิ้มถือถ้วยกาแฟผ่านอินสตาแกรมเช่นเดียวกัน พร้อมโพสต์ข้อความว่า “พ่อส่งรูปมาดูตื่นเต้นกับรูปถ่ายบนกาแฟ สมัยที่พ่อเป็นเด็กขายกาแฟที่สันกำแพงมีแต่แบบถุงถุงนะคะ อุ๊ย มี 2 ถ้วย” โดยทั้ง 2 อินสตาแกรมได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น ส่วนใหญ่บอกว่าคิดถึง

ปชป.เตือนดูด ส.ส.ขัดเจตนา รธน.

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ระบุการดูดนักการเมืองเป็นเรื่องปกติที่มีมาทุกสมัยว่า การดูด ส.ส.ไม่ใช่ครรลองประชาธิปไตยไทยตามที่นายกฯอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง เพราะการดูด ส.ส.ของคนในรัฐบาลที่กำลังทำขณะนี้ มีการต่อรองผลประโยชน์ตอบแทนให้ทางตรงและทางอ้อม หวังให้คนเหล่านี้มาอยู่กับพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งขึ้นในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งทั่วไป มีความเคลื่อนไหวใช้อำนาจการเป็นรัฐบาล ใช้ผลประโยชน์ต่างๆมอบให้ในการเจรจาดูด ส.ส.มาเข้าพรรคการเมือง เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ขัดเจตนารมณ์ รธน. เพราะในบทเฉพาะกาลรัฐ ธรรมนูญระบุชัดเจนว่า ถ้า คสช. ครม. สนช.ประสงค์จะรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ต้องพ้นจากตำแหน่ง คสช. รัฐมนตรีและสนช.ภายใน 90 วันนับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เพราะเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้ คสช. ครม. สนช. ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ทางตรง ทางอ้อมในการสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

สวดดันทุรังย้อนยุคตามรอยรุ่นพี่

นายองอาจกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเองว่า อยากเห็นการเมืองไทยพัฒนาดีขึ้น เป็นแบบใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วม แต่สิ่งที่คนในรัฐบาลกำลังทำขณะนี้ โดยการดูด ส.ส.เพื่อสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่การเมืองแบบใหม่อย่างที่พูด แต่เป็นการเมืองแบบเก่าย้อนยุคเหมือนในอดีตที่ทหารยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหารแล้วต้องการสืบทอดอำนาจโดยการก่อตั้งพรรคการเมืองดูด ส.ส.มาหนุนตนเองให้เป็นใหญ่ต่อไป เหมือนยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีพรรคเสรีมนังคศิลา ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ที่มีพรรคสหประชาไทย ยุค พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่มีพรรคสามัคคีธรรม มาถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจยังทำการเมืองแบบเก่าเพื่อสืบทอดอำนาจ ซ้ำยังทำขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เชื่อว่า การดูด ส.ส.เพื่อต่อท่ออำนาจนี้จะกลายเป็นปมปัญหาต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ขยายปัญหาเพิ่มขึ้นในสังคมในอนาคต เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เรียกร้องเองว่าต้องทำ การเมืองและอยากเห็นการปฏิรูปที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็ไม่ควรทำในรูปแบบเดิมที่คนอื่นเคยทำมาก่อน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำผิดซ้ำ เปรียบเหมือนการกลัดกระดุมผิดตั้งแต่ต้น

“เจะอามิง” ยังพลิ้วทิ้ง ปชป.

นายเจะอามิง โตะตาหยง อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการโพสต์ข้อความปัญหาการทุจริต โดยอ้างถึงการต่อสู้เรียกร้องของ กลุ่ม กปปส. ทำให้เกิดการตีความอาจย้ายไปอยู่ร่วมกับกลุ่ม กปปส.ว่า ตนเพียงแต่ชี้ให้สังคมเห็นปัญหาหลักของประเทศว่า ปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องเร่งด่วนต้องแก้ไขหาทางป้องกันคือ ปัญหาการทุจริตและการปกป้องสถาบันที่ดูเหมือนถูกละเลย ถ้าพรรคการ เมืองใดมีนโยบายชัดเจนในการแก้ไข ป้องกันสามารถนำมาใช้ปฏิบัติได้จริงก็น่าสนใจ เพราะเป็นปัญหาหนึ่งของประเทศไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค เมื่อถามว่า การพูดเช่นนี้แสดงนัยจะย้ายพรรคไปอยู่กับกลุ่ม กปปส.หรือไม่ นายเจะอามิงตอบว่า พรรค กปปส.ยังไม่ได้ก่อตั้ง หรือใครทราบแล้วว่า ใครไปจดแจ้งขอตั้งแล้ว เมื่อถามว่า ไปยืนยันตัวการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แล้วหรือยัง นายเจะอามิงตอบว่า ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ตามกฎหมายพรรคการเมืองใหม่กำหนดให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่าต้องไปยืนยันตนว่า ยังเป็นสมาชิกพรรค แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันใดที่จะรับรองว่าบุคคล หรืออดีต ส.ส.คนนั้นจะอยู่กับพรรค การเมืองนั้น แม้จะไปยืนยันตนแล้ว ตามกฎหมายให้สิทธิไปลาออกที่นายทะเบียนพรรคการเมืองหรือ กกต.ได้

สวน “ธนาธร” ยันจริงใจกระจายอำนาจ

นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุในการสัมมนาที่ จ.เชียงใหม่ พาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ถึงยุทธวิธีการผลักดันการกระจายอำนาจที่ไม่เห็นความจริงใจจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า คำพูดนี้ชี้ให้เห็นว่านายธนาธรอาจไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ หรืออาจรู้อยู่แก่ใจว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรค การเมืองที่ผลักดันการกระจายอำนาจสำเร็จมาก่อน แต่อาจชอบกล่าวเท็จเป็นนิสัย จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ พฤติกรรมแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับอนาคตนักการเมืองเช่นนายธนาธร ขอบอกให้ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนการกระจายอำนาจมาตลอด ที่เห็นชัดเจนคือ การเกิดสภาตำบล อบต. สมัยรัฐบาลชวน 1 หรือการยกระดับจากสุขาภิบาลเป็นเทศบาลในยุครัฐบาล ชวน 2 และผลักดันจนเกิด อบจ. ในยุคนั้นเช่นกัน พร้อมวางหลักการให้มีการตรวจสอบท้องถิ่นได้โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ และวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังสนับสนุนการกระจายอำนาจเช่นเดิม เป็นหลักสำคัญในนโยบายพรรคมาตลอด แม้แต่กรรมการบริหารพรรคยังต้องมีสัดส่วนจากผู้บริหารท้องถิ่นมาร่วมด้วยเพื่อก้าวทันการพัฒนาท้องถิ่น การกระจายอำนาจพรรคประชาธิปัตย์ทำมานานแล้ว ทำสำเร็จมาแล้ว และจะทำต่อไป ไม่ใช่ไม่จริงใจในการกระจายอำนาจอย่างที่นายธนาธรกล่าวอ้าง

เชื่อการเมืองไม่เปลี่ยนหลังกาบัตร

วันเดียวกันสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 1,168 คน ระหว่างวันที่ 24-28 เม.ย.เรื่องพฤติกรรมทางการเมืองของคนไทย ณ วันนี้ พบว่า การตัดสินใจของประชาชนต่อการเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัคร ส.ส. ร้อยละ 58.6 จะพิจารณาเปลี่ยนไปจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะมีพรรคการเมืองหลากหลาย มีตัวเลือกใหม่ๆมากขึ้น ร้อยละ 41.4 พิจารณาเหมือนเดิม เพราะเลือกตามความชอบ และเลือกตามคนในครอบครัว ทั้งนี้ร้อยละ 55.04 ระบุว่า จะพิจารณาเลือกผู้สมัคร ส.ส.จากที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความรู้ความสามารถ มีอุดมการณ์ชัดเจน ร้อยละ 44.96 ระบุพิจารณาเหมือนเดิม เพราะผู้สมัครเป็นคนกลุ่มเดิม ส่วนการเลือกตั้งในปี 2562 นั้น ประชาชนร้อยละ 45.03 คิดว่า สภาพการเมืองจะเหมือนเดิม เพราะได้พรรคเดิมๆ มาทำหน้าที่ เป็นการเมืองแบบเก่า ร้อยละ 42.93 คิดว่าดีขึ้น เพราะบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตย ได้รับการยอมรับจากต่างชาติ ร้อยละ 12.04 แย่ลง เพราะเกิดความขัดแย้ง อาจมีการชุมนุมเคลื่อนไหว บ้านเมืองไม่สงบ ขณะที่สิ่งที่ประชาชนอยากบอกนักการเมืองที่จะลงสมัครเลือกตั้งปีหน้า พบว่า ร้อยละ 54.85 เป็นคนดี มีคุณธรรม ร้อยละ 42.83 เน้นพัฒนาเศรษฐกิจให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ร้อยละ 17.93 มีวิสัยทัศน์ แนวคิดทันสมัย พัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ร้อยละ 14.98 เป็นนักการเมืองที่เป็นแบบอย่างที่ดี และร้อยละ 10.76 ให้แข่งขันด้วยความยุติธรรม ไม่โจมตีกันไปมา

“สัมพันธ์” นั่ง หน.พรรคพลังพลเมืองไทย

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเวลา 14.00 น. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กลุ่มพลังพลเมืองไทยจัดประชุมใหญ่เพื่อจัดตั้งพรรค มีแกนนำ อาทิ นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ นายเอกพร รักความสุข นายกฤช กงเพชร นายโสภณ เพชรสว่าง พร้อมสมาชิกพรรค 300-400 คน เข้าร่วมประชุม บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยที่ประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรค 35 คน โดยเลือกนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค 5 คน ประกอบด้วย นายกฤช กงเพชร นายโสภณ เพชรสว่าง อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต รมช.พาณิชย์ นายสุชาติ บรรดาศักดิ์ อดีต ส.ส.นนทบุรี นายสมชาติ เจริญวัชรวิทย์ นายกสมาคมกีฬามวยอาชีพ แห่งประเทศไทย ส่วนเลขาธิการพรรคได้แก่ นายเอกพร รักความสุข และ น.ส.ศิลัมภา เลิศนุวัฒน์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคไทยรัก เป็นโฆษกพรรค นายธนชาติ แสงประดับธรรมโชติ เป็น ผอ.พรรค

แทงกั๊กไม่แบไต๋หนุนใครนั่งนายกฯ

นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ หัวหน้าพรรคพลังพล เมืองไทย กล่าวว่า นโยบายหลักพรรคมี 3 ประการ เทิดทูนสถาบัน สร้างความปรองดอง ลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนจะสนับสนุนใครเป็นนายกฯนั้น พรรคไม่ยึดโยงกลุ่มหรือพรรคใด ไม่เชิดชูใคร หลังการเลือกตั้งหรือใกล้เลือกตั้งค่อยมาหาข้อสรุปอีกครั้ง ส่วนจำนวน ส.ส.ขอให้ได้ ส.ส.ที่พอจะเสนอกฎหมายก็พอใจแล้ว อาจไม่ได้ส่ง ส.ส.ลงทุกเขต เพราะเงื่อนไขกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายการเลือกตั้งเข้มข้นกว่าหลายฉบับที่ผ่านมา เช่น ไพรมารีโหวต จึงจะส่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราอาจเป็นส่วนหนึ่งของเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อยก็ได้ ถ้าความจริงใจหรือความจริงจังในการทำงาน เราอยากเป็นฝ่ายตรวจสอบมากกว่า ส่วนการดูด ส.ส.ขณะนี้ เป็นเรื่องปกติ คนทำพรรคต้องดึงคนที่มีโอกาสเป็น ส.ส.เข้าพรรค เพื่อให้ได้ ส.ส.มากสุด เราคงต้องดึงเหมือนกัน ทุกพรรคอยากได้ ส.ส.มากสุด โอกาสคนเก่าจะมีมากกว่าคนใหม่ ทุกพรรคจึงดึงคนเก่าก่อน ส่วนคนใหม่ต้องนำประวัติมาดูเรื่องความรู้ ความสามารถ ถ้ามีเสียงสนับสนุนในพื้นที่ จึงจะ มีโอกาสเป็น เรื่องการ ดูด ส.ส.มีมาหลายสมัยเหมือนนายกฯพูด แต่สมัยก่อนไม่ได้เรียกว่าดูด อาจเรียกว่าไปเชิญชวน แต่โอกาสคนเก่าย้ายพรรค คาดว่ามีน้อย ไม่เกิน 5% คนที่ย้ายพรรคคือมีความจำเป็นเท่านั้นเอง ถ้าไม่จำเป็นก็อยู่ที่เก่าเพราะได้ทำงาน

ยัน “วาดะห์” มาประชาชาติทั้งก๊ก

นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ แกนนำกลุ่มวาดะห์ ผู้ขอจดจัดตั้งพรรคประชาชาติ กล่าวถึงความชัดเจนการตั้งพรรคประชาชาติว่า ให้รอดูหลังวันที่ 30 เม.ย.อดีต ส.ส.กลุ่มวาดะห์น่าจะมาทั้งหมด ส่วนการเปิดตัวขอให้เป็นไปตามกฎหมาย ขณะนี้รวบรวมสมาชิกได้ประมาณ 700 คนแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบประวัติ พอช่วงเดือน พ.ค. ยื่นขอจดแจ้งและในเดือน พ.ค.ทาง คสช.คงได้ปลดล็อกให้ประชุมได้ จากนั้นจะเปิดตัว ต้องยอมรับว่าการที่รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นอย่างนี้ คนที่อยู่พรรคใหญ่ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ต้องถามจุดยืนตัวเองจะอยู่ตรงไหน ยิ่งคนที่เป็นปาร์ตี้ลิสต์ด้วยแล้วก็เสียวๆอยู่เหมือนกันโอกาสน้อย เพราะรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้พรรคเล็กได้ปาร์ตี้ลิสต์ การยืนแบบรัฐธรรมนูญเก่าทำให้อยู่ไม่ได้ ส่วนการดูด ส.ส.ถ้าดูจะเห็นว่าส่วนใหญ่ที่ไปก็เป็นพรรคที่อยู่กับทุกรัฐบาล เขามีแนวทางแบบนี้ สมัยพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทยใหญ่ก็แห่กันมา เป็นเรื่องปกติที่มีมานานแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องการสมยอม

“มัชฌิมา”ยังอุบไต๋ทิ้งเพื่อไทย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา กล่าวถึงกระแสข่าวจะไม่ร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย และจะไม่ไปยืนยันความเป็นสมาชิก โดยอยู่ในระหว่างการหาพรรคใหม่ว่า ไม่ทราบว่าสื่อเอาเรื่องนี้มาจากไหน ส่วนตัวตอนนี้ยังอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากมีประเด็นทะเลาะหรือหมางใจ เป็นประเด็นต่อยอดให้ใครโจมตี เพราะเวลานี้ยังมีภารกิจอื่นๆอีกหลายอย่างที่จะต้องทำ เชื่อว่าการเลือกตั้งจะยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ จึงยังไม่ได้คิดว่าจะไปสังกัดพรรคใด หากมีข้อสรุปเกิดขึ้น กลุ่มมัชฌิมาจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง

“อนาคตใหม่” เดินสายเวทีสาธารณะ

ที่วัดล่ามช้าง จ.เชียงใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ร่วมเตรียมการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ร่วมวงสนทนาสาธารณะ รับฟังเสียงอนาคต ครั้งที่ 1 มีประชาชนกว่า 300คนเข้าร่วม โดยได้หยิบยกประเด็นปัญหาต่างๆในพื้นที่ขึ้นมาพูดคุย ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน จ.เชียงใหม่ นายธนาธรระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา แต่ต้องจัดการที่ดินทำกินอย่างเป็นธรรม เปิดให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นที่เป็นพืชเศรษฐกิจ เช่นไม้สักทอง ไม้พะยูง ผ่านนโยบาย “ปลูกป่าแลกหนี้” นอกจากดีต่อสิ่งแวดล้อม ลดการบุกรุกป่า ยังช่วยเหลือเกษตรกรรัฐบาลจะยกเลิกหนี้ให้ ท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วมเพราะรู้ปัญหาดีสุด ไม่ทิ้งอนาคตที่เลวทรามแบบนี้ไว้กับคนรุ่นต่อไป สังคมจะยุติธรรม เป็นประชาธิปไตยได้ ที่เราต้องการคนอีกเป็นล้านร่วม

นายปิยบุตรกล่าวว่า แนวทางการทำงานของพรรคอนาคตใหม่ที่กำลังเตรียมการจัดตั้งจะคำนึงถึงความเสมอภาคทางสังคมทุกๆด้าน มีการทำงานการเมืองแบบใหม่ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นของทุกคน ที่ต้องร่วมกันผลักดัน ไม่ใช่ให้ประชาชนมาแบมือรอ

ปชป.ยื่น ป.ป.ช. สอบรถหรูเลี่ยงภาษี

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีการนำเข้ารถหรู แต่เสียภาษีนำเข้า 0% ว่า ในวันที่ 2 พ.ค.นี้ จะยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบกระบวนการสอบสวนกรณีรถหรูเลี่ยงภาษี เพราะเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และอัยการสั่งไม่ฟ้องทำเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง อาจมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง กรณีการนำรถหรูจากต่างประเทศเข้ามา 190 ใบขน จำนวน 554 คัน มีการเลี่ยงภาษีจากช่องว่างของระเบียบ ใช้วิธีการสำแดงว่า เป็นรถ 11 ที่นั่ง แต่นำเข้ารถ 2 ที่นั่ง มีการประกอบเป็นรถยนต์ 7 ที่นั่ง ในพื้นที่เขตปลอดอากร เพื่อใช้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีอากรนำเข้า 40% ตามประกาศกรมศุลกากรที่ 72/2550 ที่ระบุว่า รถยนต์ประกอบหรือดัดแปลงจากวัสดุภายในประเทศเกิน 40% ไม่ต้องเสียภาษีอากรนำเข้า ทำให้รัฐเสียรายได้กว่า 2 พันล้านบาท แต่กรมศุลกากรอ้างว่าตรวจสอบเฉพาะเอกสาร ไม่ได้ดูข้อเท็จจริง ขณะที่ดีเอสไอและอัยการไม่สั่งฟ้อง เห็นว่ากระบวนการตรวจสอบหน่วยงานรัฐของรัฐบาลชุดนี้มีปัญหา นอกจากยื่น ป.ป.ช.แล้ว อาจยื่นคำร้องถึงนายกรัฐมนตรีให้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยหรือไม่

ข้องใจ จนท.รัฐตรวจสอบลักลั่น

นายวิลาศกล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและคนในกรมศุลกากรที่ไม่เห็นด้วยกับการตรวจสอบแบบลักลั่น เรื่องนี้มีคนไปร้องดีเอสไอ ตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย.52 ดีเอสไอตั้งกรรมการสอบ 4 ครั้ง รับเป็นคดีพิเศษช่วงเดือน ธ.ค.53 มีการสั่งยกฟ้องวันที่ 8 ธ.ค.60 ทั้งที่มีพิรุธหลายเรื่องดังนี้ 1.ไม่มีการนำวัตถุดิบไปผ่านกระบวนการผลิต เพื่อให้เห็นว่าเป็นกระบวนการผลิตที่ยาก 2.ราคาการผลิตที่อ้างว่า 40% เพื่อเลี่ยงภาษี น่าจะเป็นราคาที่ฉ้อฉล กำหนดราคาแพงเกินจริง เช่น บางรายการไม่ควรนำมาเป็นค่าวัสดุ แต่กลับนำมาคิดเป็นค่าวัสดุ 3. การที่กรมศุลกากรอ้างว่าไม่ได้ดูข้อเท็จจริงตรวจจากเอกสารเท่านั้นเป็นพฤติกรรมเอาตัวรอดหรือไม่ 4.กรมศุลกากร ดีเอสไอ อัยการและกรมการขนส่งทางบก ไม่ทราบหรือว่า การทำเช่นนี้ทำให้รัฐเสียหายขาดรายได้เท่าใด

“เรืองไกร” บี้เคลียร์ภาษีนาฬิกาหรู

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่ร้องขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ตรวจสอบนาฬิกาหรูที่อยู่ในครอบครองของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เสียภาษีถูกต้องหรือไม่นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังมีหนังสือแจ้งมายังตนวันที่ 24 เม.ย.ว่า ได้ประสานกรมศุลกากรพิจารณาดำเนินการ และแจ้งผลการพิจารณาให้ตนทราบต่อไป แต่ตนยังไม่ได้รับทราบผลการพิจารณาจากกรมศุลกากรทั้งที่เวลาล่วงมาประมาณ 3 เดือน เรื่องภาษีเป็นรายได้แผ่นดินต้องจัดเก็บให้ครบถ้วน ดังนั้นวันที่ 30 เม.ย.นี้ จะส่งหนังสือถึงนายกฯอีกครั้ง ขอให้สั่งการไปยังกรมศุลกากร แถลงผลการดำเนินการต่อสาธารณะว่า ตรวจสอบการจัดเก็บภาษีไปถึงไหน ติดขัดขั้นตอนใด ขอให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่ากรมศุลกากรขอข้อมูลเรื่องนาฬิกาหรูจาก พล.อ.ประวิตรแล้วหรือไม่ และ พล.อ.ประวิตรให้ข้อมูลอย่างไร ไม่ว่าเรื่องนี้ ป.ป.ช. จะดำเนินการอย่างไร แต่เรื่องภาษีเกี่ยวกับเงินแผ่นดินนั้น มิอาจละเว้นได้ นายกฯ ควรรีบสั่งการต่อไปโดยเร็ว