ลิ้นนักการเมือง ปากไวใจไม่ตรง

ว่าไปแล้วในสนามจริงบนถนนการเมืองนั้น ในวิถีทางประชาธิปไตยว่าด้วยการเลือกตั้งนั้นมิอาจหลีกหนีพ้น “ลมปาก” นักการเมือง

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองจากพรรคไหน ค่ายไหน ไม่ต่างกันเท่าใดนัก ยิ่งจากค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผมนั้นได้รับสมญาเป็นที่รับรู้กันดีในจุดเด่นของพวกเขา

“ปากเก่ง เก่งแต่ปาก” ทำนองนั้น...

นี่แค่เพียงเริ่มต้นเป็นหนังตัวอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จากค่าย คสช. ที่จะหาญเข้าสู่เวทีการเมืองปกติ

จงเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับได้เลย

อย่างที่นายเสนาะ เทียนทอง แกนนำรุ่นใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ว่าเอาไว้นั่นแหละ คือให้ถอยออกไปดีกว่า อย่าคิดเป็นนายกฯคนนอกให้ลำบากตัว

แค่เจอกระทู้จัดหนักในสภา อาจมีสภาพไม่ต่างไปจาก “ไส้เดือนโดนขี้เถ้า” เป็นคำเปรียบเปรยที่สะท้อนความเป็นจริงอย่างดีที่สุด

แต่ดูไปแล้วผมว่านายกฯลุงตู่คงพร้อมที่จะสู้เต็มที่ มิฉะนั้นคงไม่เตรียมความพร้อมเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้

ยิ่งเรื่อง “ปาก” ถือว่าไม่ใช่ธรรมดา

ล่าสุดโดนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ใส่เข้าไปเต็มใบ แม้จะออกตัวภายหลังว่าเป็นการพูดถึงเรื่องในพรรคไม่ได้หมายถึงคนนอกพรรค ไม่ได้หรือพาดพิงถึงใคร

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์สวนกลับว่าให้ระมัดระวังคำพูด การพูดจาอะไรต้องระมัดระวัง แต่อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อถือได้แค่ไหน

“การพูดอย่างนี้มันฟังดูดีหรือเปล่า ให้เกียรติซึ่งกันและกันหรือเปล่า ถ้าบางเวลาผมมีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว ผมพูดไปมันก็เสียหายด้วยกันทั้งหมด ผมไม่อยากจะมีอารมณ์ตรงนี้

ที่พูดออกมาอย่างนี้ลองคอยดูวันหน้าก็แล้วกัน เลือกตั้งแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาจะเปลี่ยนท่าทีอะไรกันอย่างไรไปคอยดูตรงนู้นแล้วกัน แล้วค่อยไปถามอีกที”

...

นั่นเป็นการตอบโต้ที่ดูแล้วยังมีวุฒิภาวะสูงอยู่

แน่นอนว่า คำพูดของนายอภิสิทธิ์นั้นแม้จะบอกว่าเป็นเรื่องภายในพรรค คนนอกพรรคไม่เกี่ยว แต่ถ้ามองภาษาทางการเมืองแล้วมันพาดพิงอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะเมื่อพูดถึง “นายกฯคนนอก” สังคมการเมืองย่อมรู้ดีว่าหมายถึงใคร และเกี่ยวพันไปถึงใครกันบ้าง และทำให้สมประโยชน์อยู่ 3 อย่าง

1. สร้างคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์และตัวเองในฐานะหัวหน้าพรรคที่หวังจะได้ขึ้นมาเป็นนายกฯอีกสมัย เป็นหลักการที่ปฏิเสธได้อยาก

2. ตัดเยื่อใยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ กปปส. ที่จะไปตั้งพรรคการเมืองเพื่อหนุน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้เข้ามาสร้างปัญหาให้กับประชาธิปัตย์และตัวนายอภิสิทธิ์เอง

3. พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ที่หวังกลับเข้ามาเป็นนายกฯหลังการเลือกตั้ง เท่ากับปิดประตูไม่ร่วมสังฆกรรมกันแล้ว

3. ประโยชน์นี้ยากที่จะปฏิเสธ เพราะมันชัดเจนในตัวของมันเอง

แต่วาจานักการเมืองนั้น บางประเด็น บางประโยค พูดวันนี้ก็ต้องดูไปเดี๋ยวก็รู้เองอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ว่าเอาไว้นั่นแหละ

หลังเลือกตั้งแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?

นั่นแหละต้องไปดูกันตอนนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแล้วการจัดตั้งรัฐบาลมันจะทำกันยังไง

ใครจะเป็น “ไส้เดือนโดนขี้เถ้า” เดี๋ยวก็ได้รู้กัน.

“สายล่อฟ้า”