ลั่นระฆังทยอยเปิดตัวกันแล้ว

การคิกออฟจองชื่อขอตั้งพรรคการเมืองที่เพิ่งออกสตาร์ตสดๆร้อนๆหลังฤกษ์วันมาฆบูชา

สแกนรายชื่อหลายพรรค เข้าทำนอง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” สลัดไม่หลุดคนหน้าเดิม แค่เปลี่ยนสีเสื้อ สลับไปใส่แบรนด์ใหม่ แตกเหล่าแตกกอมาจากร่างเดิม

อาทิ พรรคประชาชนปฏิรูป ของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือพรรคพลังธรรมใหม่ ภายใต้การนำของ นพ.ระวี มาศฉมาดล ที่ปลุกผีคืนชีพพรรคพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พรรคพลังพลเมืองไทย ที่มี นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ อดีตนักการเมืองรุ่นเก๋าเป็นแกนนำ

ยังไม่นับรวมกับพวกหน้าใหม่ถอดด้าม อาทิ พรรคเพื่อชาติไทย ของ นางอัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร ภริยาของ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้นำรัฐประหารยุค รสช.

พรรคไทยศรีวิไลย์ ที่มี นายมงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันแห่งชาติเป็นแกนนำ และพรรคพลังชาติไทย ของ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ มาเป็นทางเลือกใหม่ให้ประชาชน

พรรคใหม่เปิดตัวสร้างราคาคึกคัก โหมจังหวะปี่กลองการเมืองให้ดังขึ้นเรื่อยๆ

แต่ที่ดูช็อตลงไปดื้อๆ คือ กลุ่มมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ของก๊วน กปปส. ที่เบี้ยวคิวไม่กล้ามาเปิดตัวจดจองชื่อพรรคการเมืองในวันแรก

ผิดฟอร์มที่คุยโอ่ก่อนหน้านี้พร้อมกระโจนสู้ศึกสังเวียนการเมือง ภายหลังขุนพลหัวแถวไม่ตอบรับจะไปร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่ม กปปส.ตั้งพรรคการเมือง

ตัวท็อปอย่าง นายถาวร เสนเนียม นายวิทยา แก้วภราดัย นายอิสสระ สมชัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ที่เคยทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ไปสวามิภักดิ์ม็อบ “นกหวีด” อยู่ข้างถนนนานหลายเดือน

ถึงวันนี้ต่างตบเท้ากลับพรรคประชาธิปัตย์กันหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าเปิดตัวทิ้งรังเดิมไปใส่สีเสื้อใหม่

...

แม้แต่ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ก็ยังไม่รู้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ จากคดีความต่างๆติดตัวยาวเป็นหางว่าว ต้องวิ่งขึ้นศาลถี่ยิบ

ยี่ห้อ กปปส. เหลือติดตัวอยู่แค่ชื่อเสียงเดิมๆ แทบไม่เหลือราคาในปัจจุบัน

มันก็คาดเดาสถานการณ์ได้ ไม่มีสาวก “นกหวีด” คนไหนใจถึงพอ กล้าเสี่ยงวัดดวงในสนามเลือกตั้งเที่ยวหน้า โดยไม่มีโลโก้ “ประชาธิปัตย์” ห้อยท้าย

อย่างเก่งก็มีแค่พี่น้อง “เทือกสุบรรณ” อย่างนายเชน และนายธานี เทือกสุบรรณ น้องชาย “ลุงกำนัน” และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เท่านั้นที่พร้อมหันหลังให้ถิ่นเก่า

ประเมินทิศทางการเปิดตัวพรรคน้องใหม่เหมือนพวกไม้ประดับ เป็นแค่อะไหล่เสริมเล็กๆน้อยๆให้ฝ่ายตัวเอง

ปัจจัยชี้ขาดของจริงยังอยู่ที่ 2 พรรคใหญ่ “ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย” และพรรคขนาดกลางที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ วัดอนาคตการเมืองไทยหลังเลือกตั้ง

แต่ทั้งนี้ถ้าวัดกันตามสภาพความจริงปัจจุบัน ภายใน 2 พรรคใหญ่ยังติดปัญหาจูนห้องเครื่องไม่ลงตัว

ฝั่งประชาธิปัตย์มีร่องรอยหวาดระแวงอดีต ส.ส. ก๊วน กปปส. จะแปรสภาพเป็น “งูเห่า” หนุนคนนอกนั่งนายกฯแทน “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคหรือไม่

ฟากพรรคเพื่อไทยก็ยังอลเวงเรื่องหาผู้นำพรรคลงสนามเลือกตั้ง ปล่อยข่าวเลื่อยขาเก้าอี้กันเองภายในพรรคไม่หยุดหย่อน ขณะที่พรรคขนาดกลางก็พร้อมไหลไปได้กับทุกขั้วในอนาคต

สถานการณ์ไหลเข้าทางเป็นใจให้ท็อปบูต ส่งผลดีต่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล้ากางปฏิทินเลือกตั้งให้เห็นชัดๆ

ณ นาทีนี้ ถ้า “บิ๊กตู่” ไม่มั่นใจ คงไม่กล้าฟันธงให้จัดเลือกตั้งภายในเดือน ก.พ.2562

นั่นเป็นเพราะประเมินแล้วว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกด้านอยู่หมัดในการกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง

ตามพิมพ์เขียวล่าสุดใน ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่รอมชอมการไม่ลงรอยระหว่าง สนช. และ กรธ.ได้ลงตัว

ล็อกสเปกการเลือก ส.ว.ตามโมเดลที่ สนช.ต้องการไว้ใช้ใน 5 ปีแรกโดยเฉพาะ ได้หน้าตัก ส.ว. 250 เสียง อยู่ในมือแน่นอน แล้วไปตามเก็บเสียงจากพรรคต่างๆที่เหลือ

รอวางรากฐานอำนาจได้เบ็ดเสร็จเมื่อไร ค่อยผ่องถ่ายหันกลับไปใช้วิธีเลือก ส.ว.ตามต้นฉบับที่ กรธ.เสนอมา

สถานการณ์เดินมาถึงไฟต์บังคับ ท็อปบูตเลี่ยงคืนสนามเลือกตั้งลำบากตามแรงกดดันจากหลายฝ่าย

ถึงเวลา “บิ๊กตู่” ประกาศความมั่นใจคืนเวทีประชาธิปไตย เพราะควบคุมทิศทางลมไว้ได้แล้ว.

ทีมข่าวการเมือง