"วัชระ" อัดไทยนิยมฯ หาเสียงล่วงหน้าให้พรรคทหาร หยัน "บิ๊กตู่" อย่าโกหกประชาชน จะเสียของเสียโอกาส มาตามนัดร้อง "พรเพชร" สอบ "บิ๊กอ๊อด" ปมยืมเงิน "เสี่ยกำพล" 300 ล้าน
เมื่อวันที่ 9 ก.พ.61 นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมยั่งยืน ของรัฐบาล คสช.ที่ปูพรมทั่วประเทศว่า แท้ที่จริงคือแผนการหาเสียงของพรรคทหาร เป็นโครงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.อาศัยความได้เปรียบจากการมีอำนาจรัฐ และอัดฉีดงบประมาณลงไปในพื้นที่ จัดตั้งทีมลงไปหาเสียงกับประชาชนถึง 7,663 ทีม ซึ่งดูจากภารกิจแล้ว คือ การแอบแฝงเพื่อหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปในสมัยหน้าชัดๆ โครงการนี้เบื้องต้นใช้งบ 2,000 ล้าน อ้างว่าเป็นค่าอาหารของประชาชนหัวละ 50 บาท แต่ในอนาคตงบประมาณจะบานปลาย และไม่คุ้มค่าต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเหมือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) และเงินไม่ตกถึงมือประชาชน ตามที่อ้างว่าเป็นค่าอาหารด้วยซ้ำ
"ที่จริงการจัดทีมลงไปถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้วของประเทศไทย ทุกหมู่บ้านเป็นเรื่องที่ดี รัฐต้องได้ข้อเท็จจริงกลับมาด้วยถึงข้อมูลการทุจริต การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินของกระทรวงต่างๆ ที่จัดงบไปลงในพื้นที่ว่ามีการทุจริตหรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่ มีการบุกรุกที่สาธารณะบุกรุกทำลายป่าหรือไม่ มีผู้มีอิทธิพลทำผิดกฎหมายค้ายาเสพติดเปิดบ่อนการพนันหรือไม่ ทุกทีมต้องรายงานและตั้งเรื่องจัดการเรื่องผิดกฎหมายเหล่านี้ให้หมดไป แต่ พล.อ.ประยุทธ์กล้าทำหรือไม่ โครงการนี้สุดท้าย นอกจากหาเสียงแล้วอาจมีทหารบางคนฉวยโอกาสใช้ชื่อโครงการนี้ เป็นชื่อพรรคการเมืองใหม่แทนชื่อพรรคประชารัฐก็ได้ จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรตรงไปตรงมา พูดอะไรก็ให้ทำตามคำพูดดีกว่ามาโกหกประชาชนไปวันๆ นับเป็นเรื่องที่เสียโอกาสและเสียของเป็นอย่างยิ่ง" นายวัชระ กล่าว
...
นอกจากนี้ นายวัชระ ยังได้ยื่นหนังสือถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผ่าน น.ส.สุภางค์จิตต์ ไตรเพทพิสัย รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอให้พิจารณาสอบสวน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และอดีต ผบ.ตร. จากกรณียืมเงิน นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของสถานบริการวิคตอเรียซีเครท 300 ล้านบาท และให้สัมภาษณ์สื่อว่าทำอาชีพตำรวจไปงานไซด์ไลน์ ทำธุรกิจเล่นหุ้นเป็นหลัก ว่า เข้าข่ายมีความผิดตามมาตรฐานทางจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อสมาชิกสภาฯ และกรรมการองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 และขอให้ส่งเรื่องกรณีการยืมเงิน 300 ล้านบาท ให้ ป.ป.ช.พิจารณาตามกฎหมายต่อไปด้วย
ซึ่งตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตํารวจ พ.ศ 2551 ก็บัญญัติให้ต้องยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติ เหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช้เวลาราชการหรือทรัพย์ของราชการเพื่อธุรกิจหรือประโยชน์ส่วนตน อีกทั้งต้องประพฤติตนเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดี
ดังนั้น การพูดว่าทำอาชีพตำรวจเป็นงานไซด์ไลน์ ยังเข้าข่ายผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ.2561 ด้วย ซึ่งใช้บังคับกับ ส.ส.และ ส.ว.ด้วย โดยข้อ 9 ระบุว่า ต้องไม่ขอไม่เรียกไม่รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ในประการที่อาจจะกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่และข้อ 10 ต้องไม่รับของขวัญของกำนัลทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด เว้นแต่เป็นการรับจากการให้โดยธรรมจรรยา และการรักที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายระเบียบ หรือข้อบังคับให้รับได้ ข้อ 17 ต้องไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิด เป็นเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ข้อ 19 ต้องไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณีผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน ในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น
ทั้งนี้ในการแถลงดังกล่าว นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาฯ ไม่อนุญาตให้นายวัชระใช้ไมโครโฟนในการแถลง ทำให้ นายวัชระ ต้องใช้การตะโกนเพื่อแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน