เส้นทางสายไหมที่มาลงตัวพอดีกับนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับว่าเป็นโอกาสด้านเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย จากประเทศที่ ติดกับดักการเมือง มานาน ส่งผลกระทบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ เศรษฐกิจติดลบ จนมาถึงปัจจุบัน มีแนวโน้มว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศ จะโตกว่าร้อยละ 5 เป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด
โดยเฉพาะ โครงการอีอีซี ทำให้ประเทศไทยเนื้อหอมขึ้นมาทันที มีนักธุรกิจจากประเทศต่างๆเดินทางเข้ามาขอความชัดเจนในการลงทุน จนหัวบันไดไม่แห้ง ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะต้องเร่งผลักดันให้ อีอีซี เดินหน้าตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุด
การประชุม คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเป็นประธานการประชุมด้วยตัวเอง รับทราบถึงความคืบหน้าของโครงการ โดยที่ร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกผ่านการพิจารณาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญ สนช. เรียบร้อยแล้วทุกมาตรา ภายในเดือนนี้กฎหมายอีอีซีน่าจะเรียบร้อย
นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมการลงทุน ในอีอีซี ปี 2560 มีมูลค่ารวม 296,890 ล้านบาท และปีนี้มีเป้าหมายการลงทุนถึง 3 แสนล้านบาท โดยร้อยละ 84 เป็นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีสูงของอุตสาหกรรมทั้งหมด ทั้งนี้ มีมาตรการพิเศษจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ จะได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคลเพิ่มอีก 2 ปี รวมแล้ว 8 ปี และลดหย่อนภาษีนิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปี แต่มีเงื่อนไขจะต้องฝึกอบรมพนักงานมากกว่าร้อยละ 10 ของพนักงานทั้งหมด หรือมากกว่า 50 คน เขตส่งเสริมเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้รับสิทธิพิเศษลดหย่อนภาษีนิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปี ใน เขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มอีก 3 ปีจากเกณฑ์ปกติ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องฝึกอบรมพนักงานมากกว่าร้อยละ 5 ของพนักงานทั้งหมด
...
ที่ประชุมยังเห็นชอบในการประกาศ เขตส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก เพิ่มเติมอีก 19 แห่ง ทำให้มีพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายอีก 26,200 ไร่ รองรับการลงทุนได้กว่า 1.1 ล้านล้านบาท ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ในพื้นที่ จ.ชลบุรี 12 แห่ง จ.ระยอง 6 แห่ง และ จ.ฉะเชิงเทรา 1 แห่ง
ทั้งนี้ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษหรืออีอีซี จะเป็นตัวอย่างของนิคมอุตสาหกรรมการลงทุนที่ทันสมัย มุ่งพัฒนาโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เชื่อมโยงทั้งทางบก น้ำ และอากาศ พร้อมกันนี้ยังจะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่น่าอยู่อาศัยของภูมิภาคเอเชีย เชื่อมต่อกับเมืองหลวงเป็นมหานครขนาดใหญ่ ลดความแออัดของ กทม.ในอนาคต ด้วยการสร้างระบบขนส่งรถไฟความเร็วสูงที่จะใช้เวลาเดินทางระหว่างกรุงเทพฯและภาคตะวันออกภายใน 1 ชั่วโมง มีสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินหลักนอกจากสุวรรณภูมิและดอนเมืองเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์เป็นแหล่งสร้างรายได้เข้าประเทศอีกมหาศาล ถึงเวลาที่อีอีซีจะช่วยสร้างชาติซะทีไม่ได้โม้.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th