"นิพิฏฐ์" แนะ "บิ๊กตู่" เป็นนักการเมืองต้องพร้อมรับการตรวจสอบ และอยู่ได้ด้วยการไว้วางใจจากประชาชน พร้อมโพสต์เหน็บ"วิษณุ"ชงแก้ระเบียบ ป.ป.ช.เพิ่มมูลค่าของขวัญ แนะนุ่งขาวห่มขาว ย้ำขอให้ตั้งหลักคิดใหม่ ชี้การกระทำล้วนสวนทางการปฏิรูป...
เมื่อวันที่ 5 ม.ค.61 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ยอมรับครั้งแรกว่าตนเป็นนักการเมืองที่เป็นอดีตนายพลทหารนั้นว่า ส่วนตัวเห็นว่าเราตื่นเต้นเกินกว่าเหตุกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ไปหรือไม่ เพราะเป็นแค่คำพูด ตนอยากให้ดูที่การกระทำดีกว่า เหมือนที่เคยเปรียบเทียบเสมอว่า ดูหนังสืออย่าดูแค่ปก ขอให้อ่านสาระเนื้อหาข้างในด้วย เพราะหน้าปกอาจเป็นหนังสือธรรมะ แต่เนื้อในอาจเป็นหนังสือโป๊ก็ได้ ดังนั้นท่านจะพูดว่าเป็นอะไรก็ให้ท่านพูดไป เช่นเดียวกับที่มหาตมะคานธีเคยกล่าวไว้ว่า "อย่าถามว่าข้าพเจ้านับถือศาสนาใด แต่ขอให้ดูการปฏิบัติของข้าพเจ้าตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงหลับนอนตอนกลางคืน นั่นแหละคือศาสนาของข้าพเจ้า" ตนจึงมองว่าการพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้จึงเป็นเพียงแต่การพูดเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองในอนาคต ที่มองแล้วว่าจะได้อะไรในอนาคต แต่ในเมื่อประกาศตัวว่าเป็นนักการเมืองต่อสังคมไว้แล้ว ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ระวังว่าต่อจากนี้ท่านต้องพร้อมยอมรับการตรวจสอบทางการเมืองด้วย เพราะนักการเมืองอยู่ได้ด้วยการไว้วางใจจากประชาชน ไม่เหมือน ผบ.ทบ. หรือข้าราชการที่อยู่ได้โดยไม่ต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เมื่อท่านประกาศว่าเป็นนักการเมืองก็ต้องใช้หลักเกณฑ์เดียวกับนักการเมือง ใช้จริยธรรมของนักการเมืองเป็นหลัก คือต้องพร้อมยอมรับการตรวจสอบ ตนจึงไม่ตื่นเต้นอะไร ขอให้ดูการกระทำดีกว่าว่าเขาทำอะไร อย่างไร
...
นอกจากนี้ นายนิพิฏฐ์ ยังโพสต์ข้อความถึงกรณี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ระบุจะแก้ไขระเบียบ ป.ป.ช. เพื่อเพิ่มมูลค่าของขวัญให้มากกว่าเดิมที่กำหนดไว้ 3,000 บาท เพราะของเดิมใช้มานานแล้ว ว่า "นุ่งขาว-ห่มขาว" ผมอ่านข่าวนักกฎหมายใหญ่ เช่น ดร.วิษณุ อ.มีชัย อ.บวรศักดิ์ ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมา ถือเป็นการชาร์จแบตเติมพลังในช่วงปีใหม่ ก็ยินดีที่ท่านจะมีกำลังใจกำลังกายทำงานเต็มที่ แต่ครั้นท่านกลับจากญี่ปุ่น ดร.วิษณุ กล่าวว่า ป.ป.ช.จะมีการแก้ไขระเบียบให้นักการเมือง หรือ ข้าราชการ รับสิ่งของหรือของขวัญได้เกิน 3,000 บาท เพราะระเบียบนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งดู เหมือน อ.วิษณุ จะเห็นด้วยกับการแก้ไขในครั้งนี้
ผมค่อนข้างตกใจ เพราะยุคนี้รัฐบาลบอกว่าเป็นยุคปฏิรูปมิใช่หรือ น่าจะเปลี่ยนให้นักการเมืองรับเพียงการ์ดอวยพร ราคา 5-10 บาท จะดีกว่า มิใช่ให้รับของขวัญในราคาที่สูงขึ้น ดร.วิษณุ อาจจะอยู่ในแวดวงของผู้ทีอำนาจมากเกินไป จึงใช้สติปัญญาความรู้-ความสามารถของท่านไปในทางปกป้องผู้มีอำนาจ แทนที่จะปกป้องระบบที่มันควรจะเป็น เห็นทีว่าการไปญี่ปุ่นไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรเลย ผมเลยแนะนำ อ.วิษณุ (อาจารย์ของผม) ว่า คราวหน้าอาจารย์ไปอินเดียดีกว่า ไปนุ่งขาว-ห่มขาว นั่งใต้ต้นโพธิ์ที่พุทธคยาสัก 7 วัน อาจจะเห็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงของสังคม และนำความจริงนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติดีกว่า ส่วนท่านจะโกนหัวด้วยหรือเปล่าก็แล้วแต่ท่าน ผมไม่กล้าแนะนำไปถึงขนาดนั้น
นายนิพิฏฐ์ กล่าวเพิ่มว่า ที่ตนโพสต์ในเฟซบุ๊กเพราะเห็นว่า หากเขาทำจริงก็จะสวนทางกับการปฏิรูป ซึ่งในต่างประเทศ เขาห้ามผู้นำ ห้ามนักการเมืองรับของขวัญ รับได้แต่การ์ดอวยพรในเทศกาล การที่นายวิษณุออกมารับลูกเช่นนี้ ทั้งที่เป็นนักกฎหมายมีความรู้มาก แต่ได้ใช้เพื่อปกป้องผู้มีอำนาจ พอเห็นว่าผู้มีอำนาจเจอปัญหาเรื่องมูลค่าของขวัญก็ออกมารับลูกเพื่อขอแก้ไขระเบียบ ป.ป.ช. เพื่อเพิ่มมูลค่าของขวัญโดยอ้างเหตุผลต่างๆ ซึ่งมันสวนทางกับคำพูดที่รัฐบาล คสช.บอกว่าจะปฏิรูปทั้งนั้น จึงอยากให้ทบทวนดูว่าควรหรือไม่ เพราะมาตรฐานของนายวิษณุ และ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ และหัวหน้า คสช. อยู่ในกลุ่มคนชั้นสูง ได้รับของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่า 3,000 บาทอยู่แล้ว คนระดับนั้นส่วนใหญ่คนให้เกิน 3,000 บาททั้งนั้น จึงขอเสนอว่าไม่ต้องให้เลยจะดีกว่า หรือลดลงเหลือเพียงแค่การ์ดอวยพรก็น่าจะเพียงพอ อย่าปรับแก้อะไร ขอให้ดูนักการเมืองในต่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เขาไม่ให้รับอะไรเลย เขาปฏิเสธงานเลี้ยง การมอบของขวัญ เพราะหากยิ่งไปรับก็ยิ่งสวนทางกับการปฏิรูป ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรื่องนี้ การจะออกกฎหมาย หรือแก้กฎหมายใด ไม่ควรออกมาเพื่อคุ้มครองคนคนเดียว แต่ต้องออกมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ และสังคมโดยรวม จึงแนะนำนายวิษณุควรไปนุ่งขาวห่มขาวที่ประเทศอินเดียสัก 7 วัน ไปปรับวิธีคิดใหม่ รวมถึง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย (กรธ.) เพราะทั้ง 2 คนอยู่ใกล้ผู้มีอำนาจ ความคิดจึงสนองแต่ผู้มีอำนาจ เลอะเลือนตรงข้ามกับการปฏิรูป ทำให้ใช้ความรู้ที่มีรับใช้แต่ผู้มีอำนาจ มากกว่าประชาชน จึงคิดว่าต้องตั้งหลักใหม่.